โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 132 โดยสิงหล 9 ธ.ค. 58

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 132 โดยสิงหล 9 ธ.ค. 58

   อาหารที่หลวงพ่อฉัน ท่านไม่เคยเลือก ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว อาหารหวาน หลวงพ่อไม่เคยบอกว่า จะฉันอะไร มีอะไรถวายท่านมา ท่านก็ฉันอย่างนั้น ท่านไม่เคยบอกเลยว่าจะให้จัดแกงอะไรมาถวาย ฉันง่าย แม้กระทั่งแม่ครัวหุงข้าวแล้วข้าวดิบ ไม่สุก แข็ง หลวงพ่อก็มีเมตตา พูดไม่ให้เสียน้ำใจ บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น  คือมีอยู่วันหนึ่งแม่ครัวนึ่งข้าว แล้วก็นึกว่าสุกแล้ว ไม่ได้เขี่ยดู ก็เตรียมไปถวายหลวงพ่อ พอไปถึงหลวงพ่อบอกว่า แม่ครัวช่วยเปลี่ยนข้าวให้หน่อย ข้าวมันแข็ง พอเรามาดูปรากฏว่าข้าวแข็ง ทั้งดิบ แต่หลวงพ่อท่านไม่ได้ตำหนิ อะไรเลย ท่านมีเมตตามาก

  เวลาเรายกสำรับเข้าไป ถวายหลวงพ่อ วันนั้นหลวงพ่อเอ่ยปากว่า อยู่ไม่ได้แล้ว ตอนนั้นหลวงพ่อป่วยอยู่ แต่ก็ยังอยู่ต่อมาได้อีก 3 ปี นั้นเป็นบารมีของหลวงพ่อ มีคุณหมอเลียว ผู้อำนวยการเจ้ากรมแพทย์ ซึ่งเป็นน้องของคุณแม่ท้วม มาคอยดูแลหลวงพ่อ จำได้ว่าตอนที่หลวงพ่อ เริ่มจะป่วย หลวงพ่อนัดประชุมทั้งวัด ทั้งพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ลูกศิษย์วัด หลวงพ่อขอให้ทุกคนเป็น เจ้าภาพเลี้ยงพระ ให้เลี้ยงปีละ 1 วัน วันไหนก็ได้ ให้ไปชวนพ่อแม่ญาติพี่น้อง ให้ครบ 365 วัน ตอนนั้นพระครูปัญญาภิรัติคิดว่าหลวงพ่อจะปลงสังขารแล้ว ก็ขออาราธนาให้หลวงพ่อ อยู่นานๆ ตอนนั้นประชุมกันที่ศาลาเก่า หลวงพ่อเป็นผู้ริเริ่ม โครงการเลี้ยงพระ เป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารพระประจำวัน สำหรับตัวฉันทำให้พ่อ 1 วัน ให้แม่ 1 วัน ปีหนึ่งทำ 2 วัน

   ปฏิปทาของหลวงพ่อดีมาก คือ ท่านส่งเสริมทั้งด้านปริยัติ และด้านปฏิบัติ ท่านจะเน้นเรื่องทำวิชชา สอนธรรมะเป็นหลัก ใครสอบได้เป็นมหาเปรียญ หลวงพ่อจะถวายผ้าไตรให้ ส่วนพวกที่ธรรมกายทำวิชชาในโรงงาน หลวงพ่อจะมีค่าใช้จ่ายให้ คือหัวหน้าเวรจะได้ 300 บาท ลูกเวรจะได้ 25 บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต หลวงพ่อจะเน้นเรื่องการฝึกคน สอนคน ท่านไม่เคยไปขอร้องใคร มีแต่คนจะมาให้หลวงพ่อช่วย สมัยข้าวยากหมากแพงก็อดทนกันไป แต่ข้าวปลาอาหารก็ขาด พอข้าวจะหมด ก็ไปบอกหลวงพ่อ ท่านก็บอกว่ากำลังมา วันรุ่งขึ้นข้าวมาส่งให้จริงๆ

   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีธัญญาณี สุดเกตุ บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 131 โดยสิงหล 8 ธ.ค. 58

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 131 โดยสิงหล  8 ธ.ค. 58

   สมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำ แม่ชีท้วมดูแล แต่สมัยสมเด็จช่วง ฉันดูแลเองไม่มีปัญหาอะไร แต่ก่อนเวลาไปซื้อกับข้าว จะเอาเรือสำปั้นแจวไปซื้อ ที่วัดกลาง วัดจันทราราม เลยตลาดพลูไปหน่อยเดียว ถ้าของมากๆ ต้องไปซื้อถึงท่าเตียน แต่ฉันไม่ได้แจวไปซื้อเอง เพราะต้องดูแลสำรับหลวงพ่อ พอช่วงปี พ.ศ. 2505 ถนนเข้าถึง เราก็ขึ้นรถยนต์ไปซื้อ สะดวกกว่า
   หลวงพ่อเริ่มอาพาธปี พ.ศ. 2499  ช่วง 3 ปีที่หลวงพ่อป่วย เราก็ได้เป็นคนทำอาหาร ให้หลวงพ่อ น้ำปานะก็เป็นผลไม้ที่ลูกไม่เกินกำปั้น ท่านบอกว่าผลไม้ถ้าเกินกำปั้น ใช้ไม่ได้ ปกติท่านชอบน้ำอ้อย มีอยู่วันหนึ่งเอาน้ำปานะ เข้าไปถวายท่าน ท่านถามว่าน้ำอะไร น้ำส้มโอเจ้าคะ ท่านบอกว่าให้เอากลับไป ฉันไม่ได้ลูกมันใหญ่ เราไม่รู้ ท่านบอกว่าถ้าเป็นส้ม เป็นมะตูมได้ ยามที่หลวงพ่อป่วย ท่านคงหิวนะ 
มีอยู่วันหนึ่ง ท่านเรียกไวยาวัจกรมา บอกว่าให้ไปบอกแม่ครัวที ว่าจะฉันข้าวราวๆตี 11 ตี 12 หลวงพ่อนั่งอยู่ที่เชิงชายกุฏิ นั่งดูว่าพระอาทิตย์ขึ้นหรือยัง ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว จึงจะฉันข้าว
   สมัยหลวงพ่อยังเป็นพระหนุ่ม เดินทางจาริกไปจำพรรษา หลายสถานที่ มีที่บางคูเวียง ที่อื่นๆบ้าง หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งไปจำพรรษา ที่สวนมะพร้าว มีมะพร้าวเยอะแยะ แต่ไม่มีใครเอามะพร้าวมาถวายเลย หลวงพ่ออยากฉันมะพร้าวอ่อน แต่ไม่มีใครถวาย เพราะฉะนั้นทุกปีหลังจากหลวงพ่อมรณภาพแล้ว ทุกวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ญาติโยมก็จะเอามะพร้าวอ่อน ไปถวายให้หลวงพ่อ หลวงพ่อชอบฉันแห้ว สมัยนั้นแห้วเมืองไทย ยังปลูกไม่ได้ ต้องเป็นแห้วมาจากเมืองจีน ซึ่งหายาก แต่มันแกวเมืองไทยมี เราก็หั่นมันแกวแบบคล้ายๆแห้ว เพราะเรารู้ว่าท่านชอบฉันแห้ว พอท่านจิ้มฉัน ท่านก็บอกไอ้นี่แม่ครัวหลอก เพราะในใจท่านคงคิดว่า เป็นแห้ว แต่พอฉันแล้วเป็นมันแกวไม่ใช่แห้ว

   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีธัญญาณี สุดเกตุ บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 130 โดยสิงหล 7 ธ.ค. 58

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 130  โดยสิงหล 7 ธ.ค. 58
   
    พอฉันเสร็จหลวงพ่อจะเดินนำ ออกจากโรงฉัน มีพระเณรเดินตามกัน เป็นระเบียบเพื่อไปที่โบสถ์ หลวงพ่อจะให้โอวาท แก่พระเณรในโบสถ์ทุกวัน
 หลังฉันเช้าเสร็จแล้วจะมีการนั่งภาวนากันสักครู่ หลวงพ่อจะให้มีการเช็คชื่อขานชื่อเวลาลงโบสถ์ด้วย ว่าใครมา ไม่มา ใครไม่มาก็ต้องลา หลวงพ่อตั้งระเบียบเอาไว้
 ตอนเย็นก็จะมาลง ให้โอวาทพระเณร แล้วก็จะมีการนั่งภาวนาด้วย พวกเก่าๆที่เคยบวช แล้วลาสิกขาออกไป ช่วงบั้นปลายชีวิตย้อนกลับมา วัดปากน้ำมานั่งธรรมะ เพราะตอนที่หลวงพ่ออยู่ ไม่ได้เต็มใจนั่ง แต่เดี๋ยวนี้กลับมาสนใจจริงจัง สำหรับแม่ชีก็ตามอัธยาศัย พวกที่อยู่ในโรงงาน ก็มีหน้าที่ทำงาน ในโรงงานทำวิชชา พวกที่อยู่ในครัว ก็มีหน้าที่ทำครัว
   สมัยก่อนช่วงแรกๆ ที่ฉันมามีแม่ชีท้วมดูแลครัว เป็นคนคุมดูแลทั้งหมด หลวงพ่อมอบหมายให้ดูแล แม่ชีท้วม หุตานุกรม เป็นลูกคนจีน ตระกูลเป็นนามสกุล วิภัติภูมิประเทศ นามสกุลใหญ่  แต่แม่ท้วมใช้นามสกุลเดิมคือ หุตานุกรม ส่วนน้องๆใช้นามสกุลวิภัติภูมิประเทศ 
เดิมแม่ท้วมตอนเป็นเด็กๆ พายเรือขายขนม แถวสองพี่น้อง ส่วนหลวงพ่อก็ค้าข้าว พอขนมเหลือแม่ท้วมก็จะเอามาขายให้หลวงพ่อช่วยเหมา เพราะหลวงพ่อมีคนงานเยอะ แม่ท้วมขยันทำมาหาเก็บ จนเรียนจบพยาบาล ทำงานจนอายุได้ 35 ปี ได้ทราบข่าวว่าหลวงพ่อสด มาบวชอยู่ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ก็มากราบหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงชวน ให้มาเป็นแม่ครัว แม่ท้วมก็รับ แล้วก็ลาออกจากพยาบาล คุณแม่ท้วมชอบปลูกต้นไม้ ช่วงสงครามปลูกต้นมะละกอไว้รอบวัด พระเณรช่วงสงครามกินแต่มะละกอ พอหลังสงคราม พระเณรแอบไปตัดต้นมะละกอ ไม่มีเหลือซากเลย
   โรงครัวหลวงพ่อสมัยวัดปากน้ำแต่เดิม เป็นเรือนไม้เรือนมุงจาก มีแม่ครัวที่เป็นแม่ชี 100 กว่าคน มีการย้ายโรงครัว มาอยู่ตรงกลางบริเวณที่จอดรถปัจจุบัน แล้วก็ย้ายไปอยู่ บริเวณห้องน้ำปัจจุบัน แต่สุดท้ายก็ย้ายกลับ มาอยู่ที่เดิมคือที่ปัจจุบัน เพราะที่นี่หลวงพ่อ เคยบอกไว้ว่า โรงครัวต้องอยู่ตรงนี้ สมเด็จช่วงจึงกำหนดให้ อยู่ที่ปัจจุบัน ไม่มีการเคลื่อนย้าย

   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีธัญญาณี สุดเกตุ บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 129 โดยสิงหล 6 ธ.ค. 58

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 129 โดยสิงหล 6 ธ.ค. 58

   กิจวัตรของหลวงพ่อ คือ เช้ามืดเดินรอบวัด มีลุงประยูร สุนทรา เดินตามไปด้วย แล้วท่านก็จะมาถึงโรงฉันก่อน เป็นองค์แรก มานั่งรอที่ฉันข้าว พอฟ้าสว่าง พระเณรก็จะทยอยกันมา ทุกองค์ต้องมาฉันรวมกันที่โรงฉัน ห้ามเอาอาหารไปฉันที่กุฏิ ที่ฉันรู้ว่าหลวงพ่อมาก่อนใคร ก็เพราะว่าฉันเป็นคนจัด สำรับอาหารให้หลวงพ่อ สมัยนี้สมเด็จช่วงก็มาก่อน เป็นองค์แรกเหมือนกัน สมัยก่อนมีเจ้าภาพที่มา ถวายอาหารเพียงรายเดียว หลวงพ่อจะมีการเทศน์ แล้วเจ้าภาพถวายไตรหลวงพ่อ พอหลวงพ่อเปลี่ยนไตร สรงน้ำเสร็จ เขาจะเอาน้ำที่เหลือจาก หลวงพ่อไปลูบหัว เขาถือกันว่าเป็นน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์  เวลาหลวงพ่อเทศน์ให้ญาติโยมที่มาถวายอาหาร ท่านจะเทศน์เรื่อง อานิสงส์การให้ทาน ผู้บริจาคทานจะได้บุญมาก ช่วงสุดท้ายของการเทศน์ หลวงพ่อก็จะสอนให้ทำใจหยุดนิ่ง แล้วท่านก็จะคำนวณบุญให้ว่า เจ้าภาพที่มาทำบุญ ได้บุญแค่นี้พอ แค่นั้นพอ โยมนั่งฟังจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ปลื้มก็แล้วกัน อาหารที่หลวงพ่อฉันไม่หมด ท่านจะสั่งให้ไวยาวัจกรเป็นผู้รับผิดชอบ ถ้ามีอาหารมาก ท่านก็จะตักฉันอย่างละ 1 คำ ที่เหลือก็จะมีญาติโยมมารอตักกัน เพราะใครๆก็ฉันอาหารที่เหลือ จากหลวงพ่อทั้งนั้น

(เรื่องเล่าโดย แม่ชีธัญญาณี สุดเกตุ บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำตอนที่ 128 โดยสิงหล 5 ธ.ค. 58

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำตอนที่ 128 โดยสิงหล 5 ธ.ค. 58
   เดิมฉันชื่อบุญช่วย ส่วนชื่อธัญญาณี หลวงพ่อตั้งให้ เพราะแต่ก่อนเวลาคนมาวัดปากน้ำ เขาจะขอให้หลวงพ่อตั้งชื่อให้ เขาฮิตกันมากสมัยนั้น มีพระที่ได้เปรียญ 4 ประโยค ท่านแปลว่า ผู้หญิงทำอาหาร ส่วนพระเปรียญ 7 ประโยค ท่านแปลว่า ผู้รู้ในทางการอาหาร สำหรับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ท่านให้ความหมายว่า  คนรวยเพราะมีข้าวถวาย คุณยายตรีธา หลวงพ่อก็ตั้งชื่อให้เหมือนกัน เดิมแกชื่อ ปิ่น แล้วหลวงพ่อตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “ตรีธา” มีครั้งหนึ่งพ่อของฉันมาเลี้ยงพระ แล้วหลวงพ่อก็ถามว่ามีลูกกี่คน คนนี้ข้าจะขอไว้ แต่ท่านไม่ได้พูดว่าจะให้ไปเป็นแม่ครัว แต่เณรที่อยู่ในโรงงานทำวิชชา บอกว่าดิฉันมีหน้าที่นี้โดยตรง เขาบอกว่าในเหตุต้องมาดูแลเรื่องอาหาร เรื่องเสบียง ฉันไม่ค่อยได้ไปนั่งธรรมะ ส่วนใหญ่จะอยู่แต่โรงครัว
   พอบวชได้ 4 ปีก็จะลาสึก หลวงพ่อบอกว่าอย่าสึก มาขอลาครั้งที่ 2 ท่านก็ไม่ให้ ลาครั้งที่ 3 ท่านก็ไม่ให้ ก็เลยถามหลวงพ่อว่าทำไมไม่ให้สึก หลวงพ่อบอกว่า “อยู่ดี  สึกไม่ดี” จึงอยู่ต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ อายุก็ย่าง 88 ปี
   หลวงพ่อจะเป็นคนที่ถือศีลเคร่งมาก หมายถึงว่า อะไรที่ผิดศีล หลวงพ่อจะไม่เอา เช่น นม เนย จะไม่ฉันเลย ถ้ายามวิกาลไปแล้ว ไม่เหมือนสมัยนี้ นม โอวัลติน ก็ฉันได้ สมัยหลวงพ่อท่านห้ามเด็ดขาด ท่านเป็นคนง่าย คือดูแล้วไม่น่ากลัว แต่พระเณรกลัวกันมาก ถ้าใครทำอะไรผิด หลวงพ่อจะให้คนไปติดตามเรื่อง ท่านจะตามงาน ตามให้ได้เรื่องจริง ท่านเป็นคนจริงจัง ท่านจะไม่ให้ชีไปกุฏิพระ เพราะพระเณรก็มาก ชีก็มาก แต่ฉันก็ไม่เคยถูกหลวงพ่อดุ เพราะเราไม่เคยทำผิดอะไร
   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีธัญญาณี สุดเกตุ บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 127 โดยสิงหล 4 ธ.ค. 58

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 127 โดยสิงหล 4 ธ.ค. 58

แต่เดิมฉันเป็นคนกรุงเทพฯ อยู่แถวประเวศ เกิดวันที่ 1 ตุลาคม แรม 3 ค่ำ ปีมะโรง สนใจทางด้านพุทธศาสนา มาตั้งแต่เด็ก อายุ 13 ปี ก็ไปถือศีลกับพ่อ ได้ยินเหมือนกันว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำ เก่งเรื่องการนั่งสมาธิ ก็เลยหัดนั่งตั้งแต่อยู่บ้าน เขาบอกว่าให้หัดท่อง 
สัมมา อะระหัง  
เราก็หัดท่อง มีช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ป่วยไม่สบาย พอรู้ว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านใช้วิชชาธรรมกาย รักษาโรคได้ ก็อยากมาพบท่าน ประกอบกับ แต่เดิมอยากบวชเป็นชีด้วย ก็เลยเดินทางมาพบหลวงพ่อ มาถึงวัดปากน้ำตอนกลางวัน หลวงพ่อบอกว่า เขาบวชกันไปแล้ว ต้องรอวันพระ แต่เราบอกว่ารอไม่ไหว อยากบวชวันนี้ หลวงพ่อก็เลย บวชให้ในตอนเย็น 
โกนหัวแล้วก็รับศีล 8  
มาหาหลวงพ่อตอนอายุ 19 ปีเศษ จะย่าง 20 ประมาณปี พ.ศ. 2490
มาอยู่วัดปากน้ำก็ไปช่วยงาน ที่โรงครัวอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นมีแม่ครัวเก่าลาออกไป ก็ถูกเรียกตัวให้มาทำอาหาร ให้หลวงพ่อ ทำอยู่ 10 ปี แล้วหลวงพ่อก็สิ้น รวมแล้วที่มาอยู่กับ หลวงพ่อวัดปากน้ำ 12 ปี ถ้ารวมถึงปัจจุบันปีพ.ศ. 2558 ก็รวมทั้งสิ้น 68 ปี ที่อยู่ดูแลครัวของวัดปากน้ำ

   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีธัญญาณี สุดเกตุ บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 126 โดยสิงหล 3 ธ.ค. 58

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 126 โดยสิงหล 3 ธ.ค. 58   

     คุณแม่อาจารย์ทองสุข ได้ไปสอนธรรมะหลายแห่งคือ บางปะกง ชลบุรี บ้านบึง พนัสนิคม พนมสารคาม ปราจีนบุรี ท่าประชุม หาดยาง ฉะเชิงเทรา นครสวรรค์ ตะพานหิน เชียงใหม่ ได้อยู่สอนแต่ละแห่ง นานบ้างไม่นานบ้าง ที่วัดปากน้ำก็สอนอยู่เป็นประจำเช่นเดียวกัน ที่เชียงใหม่ก็ได้แม่ฉลวย สมบัติสุข มาช่วยหลวงพ่อทำวิชชาอีกคนหนึ่ง 
      ตอนที่แม่ชีทองสุข ไปสอนธรรมะนั้น พอกลับมาก็จะถามแม่ชีจันทร์ว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสอนอะไรบ้าง ไปถึงไหนแล้ว เพราะแม่ชีจันทร์จะอยู่ ในโรงงานทำวิชชาตลอด และพักอยู่ด้วยกัน แม่ชีจันทร์ก็จะทำหน้าที่ ถ่ายทอดธรรมะในโรงงาน ทำวิชชาให้ จึงช่วยให้แม่ชีทองสุข มีความสมบูรณ์ทั้งเรื่องเผยแผ่ และทำวิชชาไม่บกพร่องเลย เพราะมีแม่ชีจันทร์ คอยทบทวนและเป็น กัลยาณมิตรให้ซึ่งกันและกัน
     เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านได้ละสังขารแล้ว แม่ชีทั้งสองก็ได้ประคับประคองกันมาตลอด ทั้งด้านปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรมะตามคำบัญชาของหลวงพ่อที่ได้มอบหมายไว้ก่อนท่านมรณภาพ

(เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 125 โดยสิงหล 2 ธ.ค. 58



โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ   ตอนที่ 125 โดยสิงหล 2 ธ.ค. 58   


ตอน เจ้าคุณพ่อยืนบนดอกบัว

   ที่ทำได้อย่างนี้ เดินฌานสมาบัติในเม็ดทราย เดินฌานสมาบัติในกระจก ในหินก็แทรกได้ ไปได้ เม็ดฝนบนอากาศก็นับเม็ดฝนได้จึงดำริในใจว่า พระอาจารย์ที่เราเล่าเรียนวิชชานี้ เห็นจะไม่มีที่ไหนอีกแล้ว ในพระราชอาณาจักร ทั่วประเทศไทย จะไม่มีพระสงฆ์องค์ใด ที่จะสั่งสอนเรา วิชชาอย่างนี้เห็นจะไม่มี พระสงฆ์องค์ใดที่จะสั่งสอนเราได้ ให้ไปเอาประเทศอินเดียอีก พม่าอีก เขมรอีกก็ไม่มี รู้ทีเดียวว่า พระอาจารย์เรานี่ ไม่ใช่สงฆ์สามัญซะแล้ว รู้ที่รู้ก็เพราะว่าเห็นด้วย ตาเนื้อนะ 

วันหนึ่งฝนตก พระอาจารย์กวาดรางน้ำฝน ในกุฎิ และเห็นพระอาจารย์ยืนอยู่ บนดอกบัว ดอกบัวยืนอยู่ข้างละดอก รัศมีลุกขึ้นโชติช่วงเลย เราเห็นด้วยตาเนื้อ ตัวฉันเองเห็นด้วยตาเนื้อ จึงได้ทราบแน่ชัดว่า พระอาจารย์เรานี่ไม่ใช่สงฆ์สามัญ

สงฆ์สามัญจะนับเม็ดทราย ไม่ได้ จะเดินฌานสมาบัติไม่ได้ เข้านิโรธแทรกในหินไม่ได้ จะวิชชาสูงอย่างนี้ไม่ได้ เพราะอาจารย์นี่สูงที่สุดจะไปหาที่เปรียบปานอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว

   เพราะฉะนั้นที่ล่วงเกิน ที่ออกฤทธิ์กับพระอาจารย์ จึงรู้สึกเสียใจมาก เราควรจะเคารพกราบไหว้บูชาพระอาจารย์เป็นที่สุด หาที่เปรียบปานไม่ได้อีกแล้ว ที่ได้สมคะเน ที่ได้เจาะเข้ามาเล่าเรียน ผู้สำเร็จที่มีความรู้ขั้นสูงก็ยังไม่ยอมสั่งสอนเรา บอกว่าพระอาจารย์ของเรามี ต่อไปเราจะได้สำเร็จมรรคผล ยังไม่เชื่อผู้สำเร็จ หาว่าผู้สำเร็จโกหกจะไปเรียนอะไรได้ คนพันธ์นี้ ผู้สำเร็จเขาเดินใต้น้ำได้ เปิดน้ำได้ ใส่สัตว์ขี่ตะเข้ได้ เขาเรียนตั้งแต่อายุ 13 – 60 ปี เขาเรียนได้แค่ทุติยฌานเท่านั้น เขายังไม่เห็นฌานเลย ฌานก็ไม่รู้จัก ไปไหนไปได้ทั้งนั้น ใช้ลมก็ได้ เปิดใต้น้ำก็ได้ เขาไม่ยอมสอนดิฉัน เขาบอกต่อไป จะได้พบพระอาจารย์


(เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 124 โดยสิงหล 1 ธ.ค. 58


 

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 124 โดยสิงหล 1 ธ.ค. 58   


   ตอน ทำจันทรคราส

   วันหนึ่งอาจารย์ถาม ตัวดิฉันเองว่า “สุข มึงจะทำจันทรคราสได้ไหม” ก็รับอาจารย์ไปงั้น แต่จะได้ไม่ได้ก็ไม่รู้ รับส่งไปงั้น รับบอกว่า “ได้” ถ้ารับปากพระอาจารย์ว่าได้แล้ว ก็เป็นทุกข์ซิ คราวนี้รับปากพระอาจารย์ว่าจะทำได้ ถ้าทำไม่ได้เราแย่

 ตอนนี้เวลานั้นเดือนมันหงายอยู่หลายวัน ข้างขึ้น จน ข้างแรมยังทำจันทรคราสไม่ได้ ทำยังงั้นทุกๆคืนคนเดียวว่ารับปากพระอาจารย์ไว้แล้วก็กลัวพระอาจารย์จะดุ ความกลัวนะ 


หนักเข้าเรียกบารมี 10 ทัศเชียว เอาตัวไปบังแล้วมองดูตาเนื้อก็ยังไม่เป็นจันทรคราส เรียกว่า บารมี 10 ทัศเชียวว่าตัวข้าพเจ้าเกรงว่าอาจารย์จะดุ เพราะรับปากพระอาจารย์ไว้ว่าจะทำจันทรคราสให้ได้ พระอาจารย์ถามตอบว่าได้ 


คราวนี้พอเรียกบารมี 10 ทัศตัวของเราเอาช่วยแล้วทำจันทรคราสเชียว เป็นจันทรคราสจริงเหมือนกัน 


พระจันทร์เหลืออยู่ครึ่งซีกถึงได้เป็น เล่นกันอยู่ขลุกขลักๆ ค้นอยู่นาน หลายเวลาอยู่จน พระจันทร์เหลือครึ่งซีก

 พระอาจารย์ตื่นขึ้นล้างหน้าตอนเช้ามืดก็บอกกับลูกศิษย์ว่า เอ้ วันนี้มีจันทรคราส


 ดิฉันก็ตอบออกไป ลูกเองที่เจ้าคุณพ่อใช้ทำจันทรคราส พึ่งทำได้วันนี้ ทำตั้งแต่พระจันทร์เต็มดวงจนเหลือครึ่งซีก พระจันทร์เกือบจะหมดถึงได้ทำได้


(เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)




โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 123 โดยสิงหล 30 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 123    โดยสิงหล  30 พ.ย. 58   


   พอได้เห็นดาวเต็มฟ้า เพราะเดือนมืดดาวเต็มฟ้า เราจะต้องทดลองจักรพรรดิ ที่เราไปเอามา ทดลองเราก็เก็บรัศมีดวงดาว ดวงอาทิตย์ เก็บหนักเข้า เก็บใหญ่เชียว เก็บอยู่คนเดียว นั่งอยู่คนเดียว จะต้องทดลองว่า จะทำได้หรือไม่ได้ จะได้แค่ไหน วิชชาของเราที่ศึกษาเล่าเรียน ที่ฝึกฝนเป็นหนักหนา ฝึกฝนจริงในการวิชชา ที่ฝึกฝนมาก ก็เพราะเราไม่มีความรู้ 

กอขอ ไม่กระดิกหู 

พี่น้องเขาเรียนกัน นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก  เขารู้การเล่าเรียนมากด้วย เราไม่มีการเล่าเรียน หนังสือหนังหา  เราไม่มีความรู้กับเขา เราก็ไปกับเขาให้ได้ ในทางวิชชา ไม่อยากแพ้ใคร ก็เรียนเก็บรัศมีดวงดาว ดวงอาทิตย์ เก็บแล้วก็ดับดาว ดับพรึบหมดฟ้าเลย ดับพรึบหมดฟ้าตอนดึก


 เช้ามืดอาจารย์ก็ตื่นขึ้น ออกมาล้างหน้า ก็มองดูฟ้าบอกว่า 

เอ้ ดาวหมดไม่เห็นมีดาวเลย เดือนก็มืด ดาวมันเคยมีเต็มฟ้า นี่ลูกดับเอง ลูกดับคนเดียว ดับเอง 

สำหรับตัวดิฉันเอง ไม่มีความรู้ในทางหนังสือ ดับดาวหมดฟ้า 

คืนที่ 2 ก็ดับหมดฟ้า 

คืนที่ 3 ก็ดับหมดฟ้า 

คืนที่ 4 ก็ดับได้ครึ่งฟ้าเท่านั้น ไม่ดับหมด


   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 122 โดยสิงหล 29 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 122  โดยสิงหล 29 พ.ย. 58   


ตอนดับดาว

   สำหรับดิฉันไปประกาศศาสนา ก็มาวัดไม่หยุดเหมือนกัน ไปกี่วัน บางทีก็ช้าบ้างเร็วบ้าง กลัววิชชาจะไม่ทันเขา มาบ่อยๆ จนกระทั่งอาจารย์ต้องว่า ทำไมมาบ่อยๆ เป็นห่วง วิชชาจะไม่ทันเพื่อนเขา กลัวจะไม่ทันพี่ทันน้องเขา เพราะเรากอ ขอ ไม่กระดิกหู คิดไปอย่างนั้นถึงได้มาบ่อยๆ มีความหมายว่าอย่างนั้น เวลาไปสอน พระอาจารย์ใช้ก็สอนไปงั้น แต่จิตใจห่วงวิชชาการเล่าเรียน กลัวจะไม่ทันเพื่อน มาถึงก็ดีใจทีเดียว มาต่อวิชชาก็กลับไปอีก


    ไปพักอยู่วัดช่องลม กลางคืนเวลาเราคุมธรรมะ สมภารมาซุ่มๆ ด้อมๆ อยู่ใต้ถุนศาลา กลัวเราจะไปชักชวน เอาคนของท่านมาซะหมด จะเป็นชี จะดีหรือร้าย จะมาล่อลวงคนของเขา ท่านก็ไม่แน่ใจอีกเหมือนกัน สมภารวัดช่องลมชื่อ อาจารย์ไว ท่านก็เก่งในทางกสิณ


เดี๋ยวกลับมาวัดซะอีกแล้ว มันนึกถึงแต่วิชชาการเล่าเรียน

อะไรไม่สำคัญ 

กลัวอย่างเดียว

จะไม่ทันเขาเท่านั้นที่เล่าเรียน


     กลับมาก็ชื่นใจ

ได้เห็นพระอาจารย์

ไปสอนได้เท่าไหร่ๆ

ก็มาแจ้งให้พระอาจารย์ฟัง ได้มาเห็นหน้าอาจารย์ ได้เห็นพี่น้องศิษย์อาจารย์เดียวกันก็ชื่นใจ แล้วก็กลับไปสักที


ที่อยู่ทำวิชชา เล่าเรียนศึกษา อยู่กับพระอาจารย์ ถ้าพระอาจารย์ไม่เรียก เรียกแต่คนอื่น ไปเอาจักรพรรดิ ดิฉันเองก็ไปทีเดียว อาจารย์ไม่เรียก นึกไม่พอใจว่า อาจารย์ไม่เรียกเราบ้าง เรียกแต่คนอื่น เราไปทีเดียว ไปขอจักรพรรดิบ้าง ได้จักรพรรดิมาครั้งหนึ่งแล้ว ยังจะเอาอีกนะ ไม่ยอมแพ้พี่แพ้น้อง ไปเอาจักรพรรดิมาเป็นรอบสอง


 ตานี้อยู่เวรกลางคืน เข้าที่แค่ 2 ยาม ไฟยังสว่าง พี่ๆ น้องๆ เขาหลับกันหมด เราไม่หลับ จะศึกษาเล่าเรียนวิชชาไม่หลับ ออกมานั่งอยู่กลางแจ้ง


(เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)



โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 121 โดยสิงหล 28 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 121 โดยสิงหล 28 พ.ย. 58   


   อยู่หลายวัน อยู่ก็อดอยาก ก็ออกอุบายให้คนมา เล่าเรียนธรรมะ ไม่มีใครเขามา เขาไม่รู้จักเรา


   เราก็ออกตรวจ ถ้าบิดามารดาใครที่ละโลก พี่ป้า น้าอา ตัวฉันเองก็ตรวจให้นะคะทุกคน พูดจากับเขาอ่อนหวาน เอาใจเขาแทบตาย เพราะว่าเราไม่รู้จักใคร ประจบประแจง จะได้อาศัยร่มไม้ชายคาเขาพักสอนชั่วคราวหนึ่ง 


   เอาใจเข้า เราก็ตรวจให้ บิดา มารดา ใครทุกข์ใครสุข บอกไปตามหน้าที่ ใครๆก็อยากรู้ บิดา มารดา ตกทุกข์ที่ไหน ก็พากันมาทีเดียว


    รุ่งขึ้นมีปิ่นโตมาให้ อาหารกับข้าวขนม รอดตายไปที พอได้เลี้ยงตัวได้ เพราะมีเงิน 

20 บาทเท่านั้น ของรึก็แพง กลัวเงินจะหมดกลับวัดไม่ได้


    พอมีคนมาตรวจหนักเข้า ก็ให้เขาเข้าที่ คุมธรรมะ ได้ธรรมะ ได้สำเร็จมรรคผลหลายคน เด็กมี ผู้ใหญ่มี เด็กไม่เด็กนัก ผู้ใหญ่ได้หลายคน


    พอได้หลายคนแล้ว ก็จัดแจงอาสาพระท่านไป จะลาไปเมืองชลต่อไปอีก

 

     หลวงตาเผือกท่านรู้จัก พระที่วัดช่องลม ท่านก็เขียนจดหมายให้ถือไปที่จังหวัดชลฯ 


    ก็ไม่รู้จัก ไปทางเหนือหรือทางใต้อีก โดยสารเรือเขาไป เรือใบต้องแล่นออกทะเล เป็นเรือใบรับจ้าง

คนโดยสารเหมือนกัน ก็คิดให้เขาคนละ6 สลึง 3 คน 2 บาท 


    เรือนั่นไม่เอาสตางค์ 

เรารู้สึกขอบคุณ เราเอาเงินที่เขาไม่คิดค่าเรือ มาจ้างคนหาบของให้เขาพาไปวัดช่องลม ไอ้คนรับจ้างเขารู้จักวัดช่องลม


   ไปพักอยู่วัดช่องลม สมภารเกิดกลัวขึ้นมาอีกแล้ว กลัวว่าเราจะไปชักชวน พรรคพวกเขามา


    พระอาจารย์ก็เป็นห่วง แสนที่จะห่วง เพราะว่าเป็นผู้หญิงไป

  

    ความรักความเป็นห่วง ลูกศิษย์  พระอาจารย์เล่าเรียน

สั่งสอนให้ความรู้เรา 

ความรู้ที่สูงที่สุด ไม่มีอะไรที่จะมาเปรียบปานอีกแล้ว ที่มาสั่งสอนเรา ให้มีความรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง รู้สึกว่าพระคุณของอาจารย์ เป็นล้นเกล้า 


     ครูบาอาจารย์สอนหนังสือ 

บิดา มารดา ก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน

 

     พระอาจารย์สูงยิ่งกว่า บิดามารดาไปอีก ยิ่งกว่าบิดามารดาของเราอีก ที่บังเกิดเกล้าเรายังกล้าเถียง พระอาจารย์ใช้เราไป ออกเดินทางประกาศศาสนา เราก็ยังออกฤทธิ์ รู้สึกเสียใจว่าเราจะบาปกรรมสักแค่ไหน เถียงพระอาจารย์


    ทีหลังพระอาจารย์จะดุว่า เราจะไม่เถียงเลย เราจะรับ สารภาพหมดทุกสิ่งทุกอย่าง  พระอาจารย์ที่มีบุญคุณแก่เรา เราจะต้องเคารพกราบไหว้ 


    ดำริอยู่แต่ในใจอย่างนั้น สวดมนต์ บูชาพระ ก็สวดไปงั้น ได้นิดๆ หน่อยๆ ต้องบูชาครูบาอาจารย์ทุกคืน


(เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 120 โดยสิงหล 27 พ.ย. 58



โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 120 โดยสิงหล 27 พ.ย. 58   


   รุ่งเช้าขึ้น ก็ออกลาเขากลับ เดินมา 2 คน เราจะไปซื้ออาหารการกิน ที่ไหน ร้านข้าวแกงก็ไม่มี วันนี้คงจะอดข้าว 

นึกดำริอยู่ในใจ 


ไปเจอทันลุงอี้ หรือลุงอี๋นี่แหละ แกให้ลูกสาวมาคอยดักอยู่ ที่ถนนว่า ลูกสาวเขานะชื่อแม่ช้วน มาคอยดัก ก็ชวนดิฉัน 2 คนกับพี่เลี้ยง ให้มาทานอาหารที่บ้านเขา


ก็มองดูหน้าชีเธียร ก็นึกดำริในใจว่า กลัวจะไปทานอาหารเขา มากเกินไป ตั้งใจว่าจะตักข้าวทัพพีเดียว ก็อิ่มแล้ว จะอิ่มไม่อิ่มก็อิ่มละ ทานน้ำเข้าไปพอหนักท้อง


 รับประทานอาหารเสร็จแล้ว คุยอยู่สักประเดี๋ยว ก็ลามา บอกว่า จะหาที่พักที่ไหนได้ เขาก็จัดแจงบ้านลุงอี้ ที่รับประทานอาหารบ้านเขา เขาจัดแจงให้พักอยู่ในครัว แหมรู้สึกขอบคุณแก ดีใจเกือบแย่ที่ได้พัก


 ไปพักอย่างนั้น อาหารก็ไม่มีจะรับประทาน ก็ข้าวสารมีไปมีกะปิไป มีกล้วยตากไป กับข้าวก็ไม่มี


 ชีเธียรที่ไปกับดิฉัน ไปเก็บใบแคดอกแคเอามาต้ม จิ้มน้ำพริก แล้วก็รินน้ำข้าวที่หุงเป็นน้ำแกง เขาก็จิ้มน้ำพริกเอาใบแคต้ม จิ้มน้ำพริกรับประทานกับอาหาร ซดน้ำข้าวโฮกเข้าไปอีกเหมือนกัน


 ฉันถามชีเธียรที่ไปด้วยกันว่า อร่อยมั๊ย ดีมั๊ย แค่ถามเขาว่าดีมั๊ย น้ำตาคลอหน่อยเชียว นึกว่าต่อไปจะกันดารแค่ไหน ก็ไม่รู้ 


เก็บใบแคที่ต้นเก็บหมด เก็บดอกกับใบอ่อน เก็บฝักจนหมด จนมีแต่ใบแก่

 ตัวดิฉันเองจะออกมุขท่าไหนให้คนมาเรียน มีพระมาสอนสององค์สามองค์


   ตกกลางคืน มีผู้ชายมาเรียนคนหนึ่ง มีน้ำมันพราย มีผงมาด้วยนะ จะมาใส่ยายชี 


ฉันเลยบอกว่า อย่าได้เล่นของพรรณอย่างนี้ เป็นของร้อนเป็นของที่เป็นบาป เป็นของที่ต้องโทษ ให้เอาไปทิ้ง ไปฝังซะเถอะ อย่าเอามาเล่นเลย หาของอย่างนี้ไม่มีประโยชน์ มีแต่บาปมีแต่โทษติดตนเองไป เราจะอยู่กี่มากน้อยจะละโลกไป อย่าเลยนะคะ ในเรื่องพรรณอย่างนี้


 ที่ฉันมาสอนมันเป็นน้ำใจจริงๆ ของในเรื่องบาปอย่าเอามาเข้ากับบุญมันเข้าไม่ได้หรอก ก็บอกแกว่าอย่างนั้น แกจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของแกแหละ


   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 119 โดยสิงหล 26 พ.ย. 58


 

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 119 โดยสิงหล 26 พ.ย. 58   


    ทีนี้พอวัดอื่นเขาได้ข่าวเข้า ในวันนั้น ก็ใช้ให้คนมาบอกว่า ขอเชิญแม่ชี 2 คนไปที่วัดโน้น เขาเรียกวัดบนหรือว่าวัดล่าง นี่แหละ ก็จำวัดไม่ได้แล้ว บางปะกงนี่แหละ มีอยู่ 3 วัดเท่านั้น ไปเชียว


 วัดนั้นเขารับอุโบสถ อยู่เต็มหลังคา เขาก็มองดูฉัน มองตั้งแต่เท้าจรดศีรษะ มองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จะถามว่าอะไรก็ไม่ถาม เขาเรียกไปดู เขามีความหมายว่า นี่จะเป็นชีขอทาน หรือเป็นชีล่อลวงของพวกเขา เขามองเหยียดไปเช่นกัน ฉันก็อยู่ที่ศาลานั่น นึกในใจว่า รุ่งขึ้นพรุ่งนี้จะไปทานข้าวที่ไหน จะอดแย่ซะก็ไม่รู้ ไม่รู้จะไปหุงหาที่ไหน


   พอเย็นเข้าเขาทำวัตรเย็น ธูปเทียนเราก็ไม่มีไป เขาก็ไม่ให้ธูปเทียน เรารึก็สวดมนต์ไม่เป็น


 มีผู้ชายคนหนึ่ง แก่ ศีรษะล้านๆ จุดธูปบูชาพระ 

เขาก็ส่งธูปให้ 3 ดอก แหมรู้สึกขอบคุณ ลุงคนนั้นแท้ๆ ได้จุดบูชาพระ พอจุดไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็รู้สึกขอบใจแก

 

    คนที่ศาลาทั้งหมด

รู้สึกจะมาสอนอะไร จะมาถามไถ่อะไรดิฉันก็ไม่พูดไม่สอนไม่บอก

เหมือนกับดูถูกชีมากที่สุด ฉันก็คิดว่าช่างเถอะ เพราะเราไม่รู้จักมักจี่ใคร


     มีคนแก่คนหนึ่ง เขาควักเงินออกมา 50 สตางค์ เป็นกระดาษใบละ 5 สตางค์ เขาจบอยู่ตั้งนาน จะอธิษฐานว่าไง ไม่ทราบ แล้วก็ส่งอัฐ 50 สตางค์มาให้ ฉันก็ไม่รับ บอกว่า ขอบพระคุณล่ะค่ะ ฉันไม่รับหรอก ไม่เป็นไรหรอกค่ะ บอกกับยายคนนั้น ว่าอย่างนั้น

   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 118 โดยสิงหล 25 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 118 โดยสิงหล 25 พ.ย. 58   


      กราบเรียนพระอาจารย์ ได้ชีเธียรที่พักอยู่ที่บ้านลูก เขาจะบวชชั่วคราว พระอาจารย์ก็ตอบ เอาคนที่เขามีธรรมะหรือเปล่า บอก “ไม่มี” 

“ไม่มี แล้วจะเอาให้ช่วยเรา ได้ยังไงล่ะ” ให้เลือกคนที่ในนี้ ไม่ยอมเลือก จะเอาชีเธียรไปให้ได้ ดื้อด้วยนะ เถียงพระอาจารย์ด้วย ไม่ยอมนี่ ทำให้ครูอาจารย์ ได้รับความกระทบกระเทือน  เพราะว่าความดื้อนั่นเองไม่ยอม เถียงจะเอาชีเธียร ใครจะชี้แจงให้เราเอาคนนั้นคนนี้ไปก็ไม่ยอม เพราะความดื้อกับพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็ไม่ว่ากระไร พระอาจารย์ก็ตอบว่า ทิศนี้เป็นทิศสำคัญที่สุด ถ้าคนอื่นไปได้ก็จะให้คนอื่นไป นี่จำเป็นซะด้วยจะต้องให้มึง ไปในทางทิศนี้

   พอรุ่งขึ้นเช้า จัดแจงข้าวหาใส่กระเป๋าเสร็จ มีเงินติดตัวไปยี่สิบกว่าบาทเท่านั้น พระอาจารย์ก็บอกว่าให้ หลวงตาขอด นำทางไปส่งที่บางปะกง หลวงตาขอดท่านเป็น อาจารย์ทางธรรมะเหมือนกัน แต่เวลานี้ท่านได้ตายซะแล้ว ท่านก็พาขึ้นรถ ไปขึ้นรถสายปากน้ำ ไป 3 พี่เลี้ยงด้วย ตัวฉัน หลวงตาขอดอีกองค์ ลงไปที่สำโรง แล้วก็ลงเรือยนต์ไป มีสตางค์ไปยี่สิบกว่าบาท เอาข้าว กะปิ พริกแห้ง เอากล้วยตากไปด้วย เอากาน้ำ เอาอะไรไป ใส่กระเป๋าพะรุงพะรังไป เพื่อไปหุงหารับประทานระหว่างทาง ก็มีเงินไปยี่สิบกว่าบาทเท่านั้น หลวงตาขอดพาเอาไปฝากไว้ กับหลวงพ่อเผือกวัดกลาง วันนั้นเป็นวันพระ คนที่มารักษาศีลอยู่ที่วัด ไปถึงก็แหม พินอบพิเทานะ ไปพูดจากับเขาอ่อนหวาน ทีเดียว เพราะว่าไม่เคยออกประกาศ ศาสนาที่ต่างจังหวัด ไม่รู้จักเขาด้วย ก็นึกดำริอยู่แต่ในใจว่า ในวันรุ่งขึ้น พรุ่งนี้เราจะไปเอาข้าวที่ไหนกิน เป็นทุกข์แล้ว เราอดก็ยังไม่เป็นไร จะเอาพี่เลี้ยงเขามาอดนี่ เป็นทุกข์ซะอีกแล้ว คราวนี้พักอยู่ที่วัดกลาง เขารู้ว่าชีมา 2 คน พระท่านจะมาพูดด้วย จะมามองหน้าพี่เลี้ยงก็ไม่ได้ ฉันหวง นั่งกันบังซะ กลัวพระจะมามองพี่เลี้ยง กลัวพระจะมาชอบพี่เลี้ยง ไม่ใช่เล่นนะ


   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 117 โดยสิงหล 24 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 117  โดยสิงหล 24 พ.ย. 58


   ให้ดิฉันออกประกาศศาสนา ดิฉันไม่ยอมไป อาจารย์พูดเท่าไรๆไม่ยอมไป นึกในใจดำริแต่ในใจว่า คนโน้นทำไมไม่ให้ไป คนนี้ทำไมไม่ให้ไป จะไม่ยอมออกประกาศศาสนา มาเล่าเรียน มุ่งอยู่ใกล้พระอาจารย์ กลัวตัวจะไม่ได้วิชชา กลัวตัวจะไม่ได้ความรู้ ความรู้ไม่ทันเพื่อนเขา จนพระอาจารย์ต้องดุ ถึงไป ถ้าพระอาจารย์ไม่ดุ ยังไม่ยอมไป ท่านั้นท่านี้ พูดบ่ายเบี่ยงจะไม่ยอมไป ในใจนึกแต่ว่า อาจารย์ไม่รักเราซะแล้ว ไม่สงสารตัวเราซะแล้ว จะใช้ให้เราไปซะแล้ว ส่วนคนอื่นพระอาจารย์ไม่ใช้ไป เฉพาะเจาะจงตัวดิฉัน ไม่ยอมไป ดื้อนะตัวดิฉันเอง ร้ายเหมือนกัน ดื้อ

   อาจารย์ดุใหญ่เชียว ว่าทางทิศนี้ เป็นทิศที่สำคัญที่สุด ทางทิศนี้นอกจากมึง ไม่มีใครไปได้ อาจารย์พูดอย่างนั้น ตัวดิฉันก็นึกเสียใจ

ให้อาจารย์พูดว่าพล่ามสอน พล่ามว่าทุกอย่างทุกสิ่ง ก็ไม่ทราบความในใจว่า ทางทิศนี้เป็นทิศที่สำคัญที่สุด ก็ลากราบพระอาจารย์ ได้ตอบกับพระอาจารย์ว่า ในเมื่อไปสั่งสอนไม่ได้ก็ไปตายซะเถอะ ลูกจะทำตามคำสั่งสอนของ พระอาจารย์ทุกอย่างทีเดียว ยอมรับผิดแต่ว่าออกฤทธิ์ซะพอ ทรมานให้พระอาจารย์ สะเทือนใจ ตัวดิฉันเป็นแบบนี้

   เราก้มกราบพระอาจารย์

จะใช้ให้ไปไหนไปทั้งนั้น ใช้ให้ไปตายก็ไป ดำริไว้แต่ในใจ พระอาจารย์พอเห็นว่า รับปากแล้วว่าจะไป แหมไปงัดเอากระเป๋าออกมาให้น่ะ ลาพระอาจารย์ จะข้ามไปฝั่งกระโน้น จะซื้อกระเป๋า พระอาจารย์ก็ถามว่าจะไปไหน ก็บอกว่าจะไปซื้อกระเป๋า ใส่เสื้อผ้าเดินทาง พระอาจารย์ก็เอากระเป๋า ออกมาเชียว ออกมาให้ บอกว่ากระเป๋าใบนี้ ตั้งแต่หลวงพ่อยังหนุ่มๆ อยู่ หลวงพ่อบวชใหม่ๆ ก็งัดเอากระเป๋ามาให้ใบหนึ่ง แล้วให้เงินไปยี่สิบกว่าบาท ดิฉันมีเงินอยู่ยี่สิบกว่าบาท ที่พระอาจารย์ให้ไป พระอาจารย์สั่งว่า เอาเถอะ คนข้างในจะเป็นพวกทำวิชชา ก็ตาม หรือจะเป็นคนข้างนอกก็ตาม ในวัดนี้ทั้งหมด พระอาจารย์ให้เลือก เอาคนในวัดนี้ไปคนหนึ่ง ให้เอาไปเป็นพี่เลี้ยง จะได้คอยหาอาหาร ทั้งปฏิบัติตัวดิฉัน ในระหว่างเดินทาง ฉันยังออกฤทธิ์กับ พระอาจารย์อีก พระอาจารย์ให้เลือกเอา คนที่มีธรรมะจะได้ไปช่วย จะได้เบาแรงฉัน จะไม่เอาอีกแล้ว ออกฤทธิ์กับพระอาจารย์อีกแล้ว ไม่เอาใครๆ มาชอบใจเอาคนหนึ่งชื่อ เธียร เขามาพักอยู่ที่บ้าน สามีเขามาไว้ เขาเป็นคนที่มีครอบครัว มาบวชชั่วคราวเท่านั้น บนตัวบวช ก็ตรวจดูในเหตุการณ์ ใครๆเดินทางไปประกาศ พระศาสนาแก่ฉันไม่สะดวก เดินทางไปไม่ตลอด

ก็ไปเลือกเอาชีเธียร ที่พักอยู่ที่บ้าน ตัวเขาไม่รู้นี้จะทำไงเล่า ฉันมาประจบเขาเชียว ท่านั้นท่านี้ มาพูดประจบประแจง เอาใจเขา หวังจะเอาชีเธียรไปเป็นพี่เลี้ยง พอไปประจบพูดกับชีเธียร ชีเธียรก็รับปากว่าเขาจะไปเดินทางด้วย ไปเป็นพี่เลี้ยงก็ดีใจว่า ได้ชีเธียรไปเป็นพี่เลี้ยง ดีใจมาก ได้คนที่ถูกใจไป

 

     ชีเธียรรึก็ไม่มีธรรมะ ไม่ได้ธรรมะ ใกล้วันรุ่งขึ้นอีก 2 วันก็จะไปแล้ว พระอาจารย์ก็ถามว่าเอาใคร

ไปเล่าไปเป็นพี่เลี้ยงของเอง


(เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 116 โดยสิงหล 23 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 116  โดยสิงหล 23 พ.ย. 58


     แต่หลังจากนั้นแม่ชีทองสุข ก็เป็นผู้ที่เคารพเชื่อฟังในคำสั่งของหลวงพ่อด้วยความศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น ดังที่คุณแม่อาจารย์ทองสุข ได้เล่าให้ศิษย์ฟังตอนหนึ่งว่า


   ข้าพเจ้าทองสุข สำแดงปั้น จะกล่าวถึงพระคุณของ ครูบาอาจารย์ที่มีแก่เรา มีคุณแก่ศิษย์สุดจะพรรณนา ศิษย์บางคนไม่รู้คุณ ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะว่ากล่าวสั่งสอนก็หวังว่าจะให้ศิษย์ดี ศิษย์ได้ธรรมะ จะให้ศิษย์เชี่ยวชาญ นั่งว่านั่งสอน ทุกสิ่งทุกประการที่จะสอน

ให้ลูกศิษย์มีธรรมะเชี่ยวชาญ ในทางเล่าเรียนศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าละเอียดลุ่มลึกมากที่สุด ที่จะละเอียดได้


     อากาศนี่ว่าละเอียดลึก ธรรมของพระพุทธเจ้า ที่พระอาจารย์(หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) สั่งสอนให้แก่ศิษย์ละเอียด ลุ่มลึกกว่านัก

       

       เพราะฉะนั้นพระคุณของ พระอาจารย์เป็นล้นพ้น ที่จะมีแก่เรา


      ตัวของดิฉันเองก็เหมือนกัน เคยพยศกับพระอาจารย์เหมือนกัน เคยออกฤทธิ์แต่ไม่ออก ต่อหน้าหรอก ออกลับหลัง กลัวเวลาพระอาจารย์จะใช้ ให้ไปประกาศศาสนา อาจารย์ก็ได้พูดสั่งสอน พูดดี พูดอ้อนวอนว่าจะให้ศิษย์ ไปประกาศศาสนาก็เพื่อจะให้ สมบัติแก่ลูกศิษย์จะได้บุญกุศลต่อไปภายภาคเบื้องหน้า ก็อุตส่าห์อบรมสั่งสอน จะให้ศิษย์ทำความดี ให้ออกประกาศศาสนา ก็สั่งสอนอยู่กินเวลา 

2 อาทิตย์กว่าเห็นจะเกือบเดือน สั่งสอนอย่างโน้นอย่างนี้ สารพัดที่พระอาจารย์จะสั่งสอน

 

      ตัวดิฉันเองก็รู้สึกว่า ตัวจะผิดมาก ได้ออกฤทธิ์กับพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็มิได้ว่ากล่าวอะไรลูกศิษย์ ได้สั่งสอนไปอย่างนั้น ให้สร้างวัด พระอาจารย์จะช่วยอย่างนั้น อย่างนี้สารพัดที่จะสั่งสอน


   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 115 โดยสิงหล 22 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 115 โดยสิงหล 22 พ.ย. 58


     “ของคนอื่นเก็บไม่ได้ แต่ของพี่สุขเขาเก็บได้ พี่สุขบอกว่าหน้าอกของผู้หญิงแห้งลงไปมาก


   จนวันหนึ่งเขาจึงตั้งใจทำ มากยิ่งขึ้น ตอนดึกรู้สึกว่าได้ผล เก็บเกือบหมด แต่พี่สุขเกิดตกใจ เห็นท่าทางมันจะเป็นจริงขึ้นมา เลยเกิดกลัวหลวงพ่อจะบอก ให้ใครๆรู้เพราะเป็นของแปลก ประหลาดมาก


 ยิ่งคิดเข้ายิ่งตกใจ เลยเดินเครื่องกลับเป็นผู้หญิง อย่างเก่า 


แต่เช้ามืดรีบบอกว่า

“นี่ๆจันทร์ เมื่อคืนตกใจเกือบตายแน่ะ”


“ตกใจอะไรล่ะพี่สุข”


“มันจะเป็นจริงๆ น่ะซี”


“อ้าว ก็ดีแล้วไงล่ะ พี่สุขอยากเป็นผู้ชาย ไม่ใช่เหรอ”


“อยากเป็นก็อยากเป็น แต่เผื่อเป็นจริง ใครๆมา หลวงพ่อมิจับฉันแก้ผ้า ให้ใครๆดูเรอะยะ”


“ก็จะเป็นไรไปล่ะ เป็นผู้ชาย ไม่เห็นจะต้องอายเลยนี่นา”


“โอ๊ย! ไม่น่าอายแกก็ทำเถอะ ฉันไม่เอาละ เมื่อคืนมันจะเป็นจริงๆ ฮึ ! เป็นออกมาหน่อยแล้วซี”


“แล้วพี่สุขทำยังไงล่ะ” คุณครูจันทร์ถามพลาง หัวเราะพลาง


“ฉันก็รีบตาเหลือก เดินเครื่องกลับน่ะซี ขืนปล่อยไว้ช้า เดี๋ยวเลยกลับไม่ได้ ฉันมิได้เป็นคนแปลกประหลาดอยู่คนเดียวหรือ เดี๋ยวใครมันจะได้ เอาไปออกงานภูเขาทอง อายเขาตายกัน”


   คุณครูจันทร์หัวเราะเสียงหาย แล้วบ่นว่า “พี่สุขล่ะพิลึก เดี๋ยวก็อยากเป็นผู้ชาย เดี๋ยวก็กลัวหลวงพ่อจับแก้ผ้า อวดแขก เดี๋ยวก็กลัวออกภูเขาทอง”


   เรื่องราวความซุกซนต่างๆนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคแรกๆที่ได้ธรรมะ ซึ่งเกิดขึ้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วแม่ชีทองสุขก็มักจะ นำเรื่องราวเหล่านั้นมาเล่า ให้กับเหล่าศิษย์ฟัง


   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 114 โดยสิงหล 21 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 114 โดยสิงหล 21 พ.ย. 58


     อุบาสิกาผู้หนึ่งซึ่งได้ปลงผม บวชวันเดียวกับแม่ทองสุข ได้เล่าให้ฟังว่า เรื่องการจะเปลี่ยนแปลงเพศนี้ ได้มีการทำจริงๆ และทำอยู่นานหลายเดือน

 

    สาเหตุที่คิดจะเปลี่ยน เพศหญิงให้เป็นเพศชายนี้ เนื่องจากหลวงพ่อเป็นห่วง ลูกผู้หญิงว่าจะถูกคนข่มเหง


     ตอนดึกๆเปลี่ยนเวร เข้าห้องทำสมาธินั้น ท่านเอาใจใส่ สั่งให้ระวังประตูปิดเปิด อย่าให้ใครแปลกปลอมเข้าไป

ในห้องทำสมาธิได้


    ในห้องทำสมาธิซึ่งเรียกว่า “โรงงาน” นั้น ทางฝ่ายหญิงมีประตูออก ทางด้านหลังศาลาเรียนธรรม หลังเก่า ส่วนทางฝ่ายชายมีประตูออก ทางด้านหน้าโบสถ์

   

     ภายในโรงงานนั้น หญิงชายจึงไปมาหาสู่กันไม่ได้ เพราะมีฝาห้องกั้นตลอด

 

    แต่เวลาหลวงพ่อท่านสั่งงาน

จะได้ยินเสียงท่านลอดมา ตามฝาห้อง ซึ่งตอกตะปูไว้ด้วยฝีมือห่างๆ

 

     เวลาจำเป็นก็แอบดูหลวงพ่อ

สอนและสั่งงานได้เพียงนัยน์ตาเท่านั้นเอง

 

      หลวงพ่อท่านเป็นห่วง ทางประตูผู้หญิง เกรงจะมีคนร้ายลักลอบเข้าไป

ทำความเสียหาย จึงสอนวิชาแปลงเพศให้  

    

       ท่านบอกว่า ให้เดินเครื่องเก็บให้หมด คือ หมายความว่าให้เก็บเพศหญิง ให้หมดก่อน 

เมื่อเก็บหมดแล้ว จึงจะเดินอีกเครื่องหนึ่ง ปล่อยเพศชายที่ต้องการ

ให้ปรากฏออกมา


     เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่ได้มีการสอนกันตั้งแต่ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เวลานั้น มีอุบาสิกาเรียนกันอยู่ประมาณ สิบกว่าคน

   

      เป็นเรื่องที่น่าขบขันมาก ที่ไม่มีใครเขาอยากแปลงเพศ เลยเพราะทุกคนพอใจใน

เพศหญิงของตนอยู่แล้ว


     เมื่อหลวงพ่อถามว่า “เปลี่ยนหรือยังๆ” ก็จะมีคนตอบค่อยๆว่า “ยังเจ้าค่ะๆ” นอกจากแม่อาจารย์ทองสุข คนเดียวเท่านั้น ที่มีคำตอบที่แปลกที่สุด

  

      คุณครูลูกจันทร์เล่าว่า “ไม่มีใครอยากเป็นหรอกผู้ชายน่ะ มีแต่พี่สุขคนเดียวเท่านั้น เขาอยากนักอยากหนา อุตส่าห์เดินเครื่องอยู่ได้ ตั้งหลายเดือน พอหลวงพ่อถามเขาๆก็ตอบว่า “เกือบแล้วค่ะๆ” ตอนนั้นใครจะเข้าไปยุ่งกับเขา ไม่ได้ เขาเคร่งจังเลย ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรของเขาล่ะ”


   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 113 โดยสิงหล 20 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 113 โดยสิงหล 20 พ.ย. 58 “ไหน ก้อนไหนของแม่ทองสุข” “ก้อนเล็กๆอยู่ติดกับ ก้อนใหญ่ขนาดกลางนั่นไงล่ะ” อาจารย์ก็หยิบขึ้นมาดู พลางนึกในใจว่า “ของเราก้อนนิดเดียว จะพอสร้างกรรมฐาน สัมมาอะระหังได้เชียวหรือ อย่าเลย กลับไปเมืองมนุษย์คราวนี้ ต้องเร่งสร้างกุศลให้มาก จะได้มีทองเป็นทุนสำรองไว้ ก้อนใหญ่ ถึงคราวอดอยากยากแค้น จะได้มีกินและจะได้สร้างสำนัก ให้เสร็จทันตา คิดแล้วก็วางทองก้อนเล็ก ของตนลงไว้ที่เดิม อาจารย์ถามหาของคนอื่นๆ อีก 2-3 คน อยากจะดูแล้วจะได้ กลับมาเล่าให้เจ้าของฟัง ให้ทั่วๆกัน แต่เสียงม้าแก้วร้องลั่น อยู่หน้าถ้ำ เหมือนจะเตือนให้รีบกลับ คงจะมีเหตุการณ์อะไรไม่ดี อาจารย์จึงบอกนางยักษ์ว่า จะออกไปดูซิ เผื่อเพื่อนมาหา แล้วบอกนางยักษ์ว่า ไม่ต้องไปส่ง เดี๋ยวจะลำบาก สั่งเสียนางยักษ์แล้ว ก็รีบออกมาพบม้าแก้วๆบอกว่า ให้รีบหนีเร็วๆ ยักษ์กลับมาแล้ว มากับเพื่อนด้วย 3-4 คน รูปร่างใหญ่ทั้งนั้น ถ้ารบกันจะแพ้ อาจารย์ก็รีบขึ้นหลังม้าแก้วๆ ก็พาห้อกลับ ใจอาจารย์นั้นยังอาลัยอาวรณ์ นางยักษ์และลูกเล็กๆ ที่สนิทสนมด้วยอย่างประหลาด เป็นการจากมาอย่างคิดถึงเหมือนจากคนรัก พอถึงวัดปากน้ำภาษีเจริญ ก็รีบลงจากหลังม้า เห็นกายเนื้อของตน ยังอยู่ในท่าเข้าที่ทำสมาธิอยู่ ก็รีบไปอยู่ในกายเนื้อทันที ขณะที่ใจเต้นตึกๆ กลัวหลวงพ่อจะรู้นั้น ก็ได้ยินหลวงพ่อบ่นว่า “ไอ้สุข มาหรือยัง ไอ้คนนี้ชักจะซุกซนใหญ่แล้ว ประเดี๋ยวต้องมีโจทก์มาฟ้องอีก” “สุข ไอ้สุข” เสียงหลวงพ่อร้องเรียกใน 10 นาทีต่อมา “เจ้าขา” อาจารย์ขานไม่ค่อยมีเสียง “เอ็งไปหาเรื่องที่ไหนมา” “ป-ล-ะ-เ-ป-ล่-า อ้อ ไปนิดเดียวค่ะ “ไปไหน?” “อ้า ไปนิดเดียวค่ะ” “เอ็งนี่จะเหลวไหลอีกแล้วนะ” เสียงหลวงพ่อบ่นลอดมา ตามฝาห้องที่กั้น อีกนานหลายอึดใจ จึงมีเสียงดุว่า “ไอ้สุข เอ็งไปเป็นชู้กับเมียเขาหรือ เขาฟ้องมาแน่ะ. “เปล่าค่ะหลวงพ่อ ลูกเปล่าจริงๆค่ะ” เสียงหลวงพ่อท่านหัวเราะหึอยู่นาน จึงได้ยินท่านถามใหม่ว่า “สุขเอ๋ย สุข เอ็งอยากเป็นผู้ชายไหมล่ะ” “อยากเจ้าค่ะ” อาจารย์ตอบด้วยความดีใจ “เดินเครื่องเข้าสิไอ้สุข เก็บให้หมดเลย” “เจ้าค่ะ” ตั้งแต่วันนั้นมา แม่ครูจันทร์เล่าให้ฟังว่า ใครทำเสียงดังไม่ได้ แม่อาจารย์ทองสุขโกรธนัก มาถามตอนหลังได้ความว่า เข้าที่ทำสมาธิ “เดินเครื่อง” เพื่อจะให้ร่างกายกลับเป็นชาย (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 112 โดยสิงหล 19 พ.ย. 58

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ  ตอนที่ 112 โดยสิงหล 19 พ.ย. 58

       นางยกอาหารมาวาง ให้รับประทาน อาจารย์บอกว่านึกรักนางยักษ์ จะถามเรื่องส่วนตัวอะไรมาก ก็กลัวนางสงสัยว่าไม่ใช่สามี จึงตีขลุมเลยตามเลย กินขนมยักษ์เสียอิ่ม

    ขนมนั้นคล้ายๆ ขนมเปียกไส้ถั่ว มีกล้วยมีขนุนด้วย อาจารย์ก็กินอร่อยไปทุกๆอย่าง ลูกยักษ์ก็สนิทสนมนอนเล่นกินอยู่ด้วย
       
      อาจารย์รู้เรื่องโคตรทอง
จึงถามนางยักษ์ “ทองก้อนใหญ่นั้น มีของใครบ้าง” “หลายเจ้าของด้วยกันพี่จำไม่ได้หรือ” 
“จำได้” อาจารย์ตอบ “แต่อยากจะทดลองความจำ ของเธอบ้าง ไหนลองบอกซิว่า เป็นของใครบ้าง”

   “ของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ก้อนใหญ่มากกว่าเพื่อนไงล่ะ พี่ลืมแล้วหรือ?” นางยักษ์ตอบเรียบร้อย “ท่านเอามาฝากไว้แต่เมื่อไหร่” “เมื่อชาติก่อนๆ ท่านเคยทำไว้กับลูกศิษย์มาก รวมกันเข้าเป็นทองก้อนใหญ่ เมื่อท่านทำบุญใหญ่ ท่านก็ดึงสายสมบัติเก่ามาให้ ไปเชื่อมกับสายสมบัติใหม่ ผู้คนที่มาช่วยทำบุญก็จะได้รวยขึ้น จะมีเงินทำบุญอีกต่อไป”

 “แล้วก้อนอื่นๆล่ะ เป็นของใครบ้าง” “เป็นของวัดอื่นๆก็มีอยู่หลายก้อน จำไม่ค่อยได้หมด พี่ไปอ่านดูแล้วกัน หัวหน้าเก่าเขาเขียนบอกไว้ทุกๆก้อน” นางยักษ์ตอบ

   “เป็นของผู้หญิงมีบ้างไหม?” อาจารย์ถามเพราะอยากรู้ว่า ของอาจารย์มีหรือไม่ ด้วยอาจารย์กำลังสร้าง สำนักกรรมฐานอยู่ที่ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี

    ยักษ์ตอบว่า ของแม่ชีทองสุขมีอยู่ก้อนเล็กๆ จำได้ว่าเอาไว้ข้างๆ ของอีกคนหนึ่ง เป็นทองก้อนใหญ่ เพราะทำไว้หลายชาติแล้ว แต่นึกไม่ออก

      อาจารย์อยากเห็นทอง ของตัวเองว่ามีลักษณะ เป็นอย่างไร จึงชวนนางยักษ์ให้ไปดู
        
       นางยักษ์ก็พาไปที่ ห้องเก็บทองซึ่งอาจารย์เคยมาพบโดยบังเอิญแล้วครั้งหนึ่ง

   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 111 โดยสิงหล 18 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 111 โดยสิงหล 18 พ.ย. 58


        ที่เป็นดังนี้เพราะอาจารย์

สร้างมโนภาพ ขึ้นจากภาพยักษ์ปีขาล ซึ่งเห็นในหนังสือพรหมชาติ มิ่งขวัญของปีขาลซึ่งเป็นยักษ์ ผู้หญิงยืนอยู่ใต้ต้นขนุนสำปะลอ จึงจำเอามาติดหูติดตา

เมื่อจิตเพ่งไปที่รูปยักษ์ผู้หญิง  แปลงตัวแล้ว จึงเหมือนรูปนั้น

 

     คราวนี้อาจารย์จึงสำรวมจิต ทำสมาธิแล้วสร้างมโนภาพ

รูปยักษ์ขึ้นใหม่ แต่จะนึกถึงใครก็นึกไม่ออก มีใจโกรธแค้นยักษ์ที่เอา

กระบองมาไล่ตี ใจก็นึกถึงยักษ์ตนนั้นอยู่

จิตจึงไปเพ่งเอายักษ์ตนนั้น

เข้ามา 


เมื่อแปลงกายเสร็จ ม้าแก้วเห็นแล้วตกใจ ทำท่าจะเผ่นหนี บอกว่า นึกว่าไอ้กระบองเพชรมาแล้ว

 

      คราวนี้เป็นยักษ์ผู้ชาย

ค่อยดูน่ากลัวหน่อย เพราะไม่มีโตงเตงที่หน้าอก ยักษ์อาจารย์ก็ชอบใจ ทำแกว่งกระบองเพชร

แล้วขึ้นนั่งหลังม้าแก้ว

อย่างองอาจ

 

      ตรงไปที่ประตูถ้ำ คราวนี้ไม่เห็นตัวหนังสือ

ที่ยักษ์เคยแขวนไว้ จึงเอากระบองเคาะปากถ้ำ 3-4ครั้ง

     

      สักประเดี๋ยวหนึ่งประตู

ก็เปิดออก อาจารย์ยกกระบองขึ้นเตรียมตัวจะตีหัวยักษ์แก้แค้น แต่ต้องยกกระบองค้าง

เพราะคนที่มาเปิดประตู

เป็นยักษ์ผู้หญิงหน้าตาสวย เขี้ยวไม่งอก อุ้มลูกเล็กๆ น่าเอ็นดู ออกมาด้วย


    พอแลเห็นอาจารย์ก็ดีใจ ร้องบอกลูกว่า “พ่อกลับมาแล้วๆ” เด็กลูกยักษ์ก็ส่งมือมา ให้อาจารย์อุ้ม

    

      อาจารย์เป็นคนรักเด็ก ก็เลยเอากระบองเหน็บเข็มขัด

แล้วรับลูกยักษ์มาอุ้ม แล้วก็เดินตามแม่ยักษ์

เข้าไปในถ้ำ


   อาจารย์ว่า ในถ้ำนั้นกว้างขวางมาก มีห้องหับสลับซับซ้อน เป็นที่อยู่ของยักษ์หลายตน แต่อยู่เป็นส่วนๆ

 

      สามีของนางยักษ์ คงจะเป็นนายใหญ่ จึงดูห้องหับใหญ่โตและ

มีเครื่องใช้มาก ห้องนอนมีเตียงเป็นแท่นหิน

กว้างขวางสวยงาม นอนได้ราวๆ 7 คนขนาดมนุษย์ ถ้าเป็นยักษ์รูปร่างใหญ่

ก็คงนอนได้ราวๆ 3-4 คน พ่อแม่ลูก 

      

       มีโต๊ะทำงาน สร้างด้วยหินเหมือนกัน มีไฟใช้ด้วยแต่ไม่ใช่ไฟฟ้าหรือตะเกียง เป็นไปตามอำนาจของยักษ์ จะนึกให้สว่างก็สว่าง ไม่ต้องการให้สว่างก็มืด


    อ่างล้างหน้าก็เป็นหิน เปลเด็กก็เป็นหิน โต๊ะอาหารเก้าอี้นั่งก็เป็น

ของที่ทำด้วยหินทั้งนั้น แต่ยักษ์แข็งแรงก็ยกไหว

ทุกอย่าง

 

     นางยักษ์ตนนี้เป็นยักษ์สุภาพ

เรียบร้อยเหมือนหญิงไทยผู้ดี พูดจาอ่อนหวาน ลูกก็ไม่ดื้อ


     พออาจารย์นั่งพัก นางยักษ์ก็เอากระบองไปเก็บให้และเอาเสื้อผ้ามาให้ผลัดเปลี่ยน


   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)



โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 110 โดยสิงหล 17 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ

ตอนที่ 110 โดยสิงหล 

17 พ.ย. 58


   แม่อาจารย์เล่าว่า เวลานั้นกำลังเรียนใหม่ๆ ใจอยากแต่จะทดลองดูว่า อะไรมีจริงหรือไม่จริง


 และนิสัยของท่านเอง ก็ชอบบู๊ อย่างผู้ชายอกสามศอกอยู่แล้ว 

จึงไม่กลัวใคร อยากจะลองสู้ดูสักตั้งเรื่อยไป


   ดังนั้น ด้วยความแค้นใจที่ยักษ์บังอาจ

เอากระบองไล่ตีหัว จึงแอบหนีหลวงพ่อไปหาเรื่อง

ยักษ์อีกครั้ง 


อาจารย์เล่าว่า พอเรียกพ่อม้าแก้วมาบอกว่า ให้พาไปที่ถ้ำยักษ์เท่านั้น ม้าก็สั่นหัวบอกว่า ไม่อยากไปแล้ว กลัวกระบองเพชรของยักษ์


 แม่อาจารย์ต้องทำโกรธแล้วว่า “อะไรพ่อม้าแก้ว เป็นผู้ชายแท้ๆ ยังกลัวกระบองยักษ์ ฉันเป็นผู้หญิงยังไม่กลัวเลย”


 ม้าแก้วก็ตอบว่า “ไม่กลัวแล้วอย่าวิ่งหนีนะ” อาจารย์ทองสุขรับว่า 

“เออ ทีนี้ละไม่หนีแน่ๆ”

 

   ม้าแก้วจึงยอมไปด้วย อาจารย์ขี่ม้าพอเต็มเหยียดก็ถึงพระภูมิขี่เสือ พอพระภูมิแลเห็นเข้า ท่านก็หัวเราะเอิ๊กๆแล้วว่า “มาอีกแล้ว หัวโนยังไม่เข็ด” 


   แม่อาจารย์ตอบว่า “ชั่ง หัวโนก็หัวฉัน ไม่ใช่กงการอะไรของตาพระภูมิ ระวังเถอะลงจากเสือเมื่อไหร่ เสือมันจะขบหัวเอา” ว่าต่อล้อต่อเถียงกับพระภูมิแล้ว ก็ห้อม้าไปเลย

 ไปพักหนึ่งก็แลเห็นถ้ำของยักษ์

   ม้าแก้วมาถึงแล้ว บอกว่า อย่าเข้าไปเลยสู้มันไม่ไหว แต่อาจารย์ไม่เชื่อ จะเข้าไปแก้แค้นยักษ์ให้ได้ ม้าจึงแนะอุบายว่า ถ้าจะเข้าไปจริงๆก็ให้ แปลงตัวเสียก่อน


 แม่อาจารย์ถามว่าจะแปลง เป็นตัวอะไรดี ม้าเสนอว่าให้แปลงเป็น ยักษ์ตัวโตๆ แม่อาจารย์ก็เห็นจริงด้วยจึงทำสมาธิ อธิษฐานจิตสักครู่ก็กลายเป็น ยักษ์ตัวโตจริงๆ


 แล้วถามม้าแก้วว่า “เป็นยักษ์ตัวโตสมใจหรือยังล่ะทีนี้” 

ม้าแก้วตอบว่า “ฮี้ ยังไม่ได้ความเลย ยักษ์อย่างนี้ไม่มีใครกลัวหรอก เชื่อเถอะ” 

“ทำไมล่ะ” อาจารย์ถาม “ก็ดูตัวเองซี มันน่ากลัวเมื่อไหร่ เขี้ยวก็สั้นอย่างกะเขี้ยวหมู” “บ้า! ม้าบ้า! อาจารย์ตวาดม้าแล้วก็ก้มดูตัว “ต๊ายตาย! จริงๆน่ะแหละ มันกลายเป็นยักษ์ผู้หญิงไป หน้าอกยานเท้งเต้งเหมือน แม่ลูกอ่อนเชียว”


 (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 109 โดยสิงหล 16 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ 

ตอนที่ 109 โดยสิงหล 

16 พ.ย. 58

   

     อาจารย์ลังเล

ไม่รู้ว่ายักษ์พูดจริงหรือจะขโมยต่อไป ในขณะที่ยังไม่ส่งทองคืนให้นั้น ยักษ์อีกตนหนึ่งก็ตามมาถึง ยักษ์ตนนี้ขี้โมโห พอเห็นทอง อยู่ในมืออาจารย์เท่านั้นก็ร้องว่า “ขโมย เอาให้ตายเสียเลย” แล้วก็ยกกระบองเพชร ฟาดลงตรงศีรษะอาจารย์ โดยแรง


   อาจารย์ตกใจเพราะ ไม่เคยพบยักษ์เลย พอพบก็จะรบกัน โดยไม่รู้ตัว จึงยกทองขึ้นรับ กระบองก็ฟาดลงตรงทอง ก็กระเด็นหลุดจากมือ กลิ้งไปตามพื้นดิน ยักษ์ก็ยกกระบองขึ้น ฟาดซ้าย ฟาดขวาอีกหลายครั้ง ม้าก็พาอาจารย์หลบ กระบองยักษ์เป็นพัลวัน  แล้วร้องขึ้นสุดเสียง ให้ยักษ์ตกใจ และวิ่งราวกับลมพัดพาอาจารย์หนีรอดมาได้พักหนึ่ง


 แต่ยักษ์ก็เหาะตามมา อย่างรวดเร็ว กระบองนั้นตรงเข้าตีหัวม้า และจะตีศีรษะอาจารย์ ให้แตกทำลายไป


   แม่อาจารย์เล่าว่า พอกระบองยักษ์จะมาตีหัวท่านท่านก็ได้ยินเสียงตวาดว่า “หยุด” กระบองก็หยุดตีและกลับเข้าไปอยู่ในมือยักษ์


 แม่อาจารย์ทองสุขได้โอกาส ก็รีบกระตุกบังเหียนม้า หนีกลับวัด พอถึงก็รีบกลับเข้าร่างเดิม กำลังเหนื่อยที่หนียักษ์มา ตกใจเต้นตึ้กๆ ก็พอได้ยินเสียงหลวงพ่อดุ ขึ้นว่า “ไอ้สุขเอ็งไปไหนมา” และดุว่าเหลวไหล ไปลักทองเขามา ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว


   แม่อาจารย์เล่าว่า ครั้งนั้นหลวงพ่อนั่นเอง ไปตามช่วยไว้ พอท่านตวาดเท่านั้น ยักษ์ก็หยุดไล่ตี  แม่อาจารย์ทองสุข คงสงบเรียบร้อยอยู่หลายวัน


 วันหนึ่งหลวงพ่อมีแขกมาก แม่อาจารย์ทองสุข ยังเจ็บใจยักษ์ไม่หาย ตั้งแต่ถูกไล่ตีด้วยกระบองเพชรแต่ครั้งนั้นแล้ว ก็พยายามปลุกจักรแก้ว ที่พระพรหมให้ ตอนที่ได้ธรรมกายนั้น ให้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น และพยายามทดลอง ให้ปราบมารต่างๆ ทั้งมารที่หลวงพ่อใช้ให้ปราบ และมารที่เข้ารังแก เวลาเข้าฌาน หัดใช้จนชำนิชำนาญ อยู่อย่างเงียบๆ ไม่บอกให้ใครๆรู้ แม้แต่คุณครูจันทร์ ซึ่งเป็นผู้สนิทสนมและใกล้ชิด ก็ไม่บอก เพราะถ้าบอกแล้วคุณครูจันทร์ จะห้ามปรามไม่ให้ไปซุกซนต่างๆนานา


  (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 108 โดยสิงหล 15 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 108 โดยสิงหล 15 พ.ย. 58


   ลิงนั้นดูจะรู้ฟัง หรือไม่ก็คงเดาเก่ง หายไปสักอึดใจหนึ่ง ก็เอากุญแจดอกใหญ่มาส่งให้ อาจารย์จึงไขกุญแจประตู ก็เปิดออกโดยง่าย จึงเดินเข้าไปในถ้ำ เดินลึกเข้าไปเป็นห้องใหญ่ชั้นที่ 3 มีแสงสว่างเหลืองอร่าม ไปทั้งห้อง 

กลางห้อง ทองก้อนใหญ่เกือบเท่า สุ่มไก่ตะเภาคงจะเป็นโคตรทอง อาจารย์นึกในใจ ก้อนใหญ่เหลือเกิน ล้อมรอบนั้นเป็นก้อนเล็กๆ เท่าบาตร เท่าชามอ่าง เท่าขันล้างหน้า มีหลายสิบก้อน ทุกๆก้อนมีผ้าหรือกระดาษขาวๆ มีตัวหนังสือเขียนไว้บนผ้า หรือกระดาษขาวแล้วปิดไว้ ที่ก้อนทองเหล่านั้นทุกๆก้อน


   อาจารย์เข้าไปยืนใกล้ๆ เอามือจับก้อนทองเหล่านั้นแล้วถามว่า “ทองของใคร” 

ถามถึง 3 ครั้ง ก็ไม่มีเสียงตอบจึงคิดว่า ทองมาซ่อนอยู่ในถ้ำเฉยๆ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ควรจะเอาไปซื้อขาย ให้เป็นเงินตรา เอามาสร้างโรงเรียน ให้หลวงพ่อจะมีประโยชน์กว่า


 คิดแล้วมองดูทองก้อนใหญ่ ก็รู้สึกว่าใหญ่เกินไป คิดกะเอาแต่ก้อนกะดูพอดีๆ กับราคาโรงเรียนของหลวงพ่อที่จะสร้าง จึงหยิบก้อนเท่าขันล้างหน้า ลองยกดูหนักมาก แต่พอแบกไหว จึงแบกออกมาจากถ้ำ ขึ้นมาได้ก็บอกกับม้าว่า “กลับกันเถอะ” 


   อาจารย์เล่าว่า พอขี่ม้าได้ ไกลโขอยู่เกือบถึงตรงพระภูมิขี่เสือ ก็ได้ยินเสียงร้องเรียก มาทางด้านหลังว่า

“ขโมยๆ หยุดก่อน!” 

จึงหยุดม้า มองไปเห็นยักษ์ตัวใหญ่ๆ ถือกระบองตะโกนไล่มา พอทัน ยักษ์ก็เอ็ดตะโรว่า “ทำไมขโมยทองเขามา” “ฉันไม่ได้ขโมย  ฉันถามหาเจ้าของ ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ จึงนึกจะเอาไปขาย เอาเงินสร้างโรงเรียน ให้หลวงพ่อ” 

“เอาไปไม่ได้ ก้อนนี้ไม่ใช่ก้อนที่เขาจะทำบุญกับหลวงพ่อ” 

“รู้ได้ยังไง” “ก็เขามีหนังสือเขียนไว้ ไม่เห็นหรือ ทำไมไม่อ่าน” “ก็มันกระดิกหูเสียเมื่อไหร่ล่ะ” “อ้อ ! อ่านหนังสือไม่ออกหรือ ถ้าอย่างนั้นจะยกโทษให้ เอาทองคืนมาเสียดีๆ” 

“เป็นอะไรจึงจะมาเอาทองคืน” “เป็นผู้รักษาทองเหล่านี้ไว้ รอเจ้าของ” 

“เป็นของใครบ้าง" อาจารย์ถามต่อไป 

ยักษ์ตอบว่า “ทองเหล่านี้ เป็นของผู้ใจบุญ ได้ร่วมสร้างกุศลไว้ เป็นการสร้างทีละเล็กทีละน้อย จึงรวมเป็นก้อนใหญ่” “เป็นของใครบ้างล่ะ” “ของใครหรือคณะไหน ก็มีชื่ออยู่ทุกก้อน ที่ผ้าขาวผูกอยู่นั้น อย่าถามมากเลย ส่งคืนมาเถิด ไม่ใช่ของตัวอย่าเอาไป”


   (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 107 โดยสิงหล 14 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 107 โดยสิงหล 14 พ.ย. 58
   พอออกจากเวร กลับบ้านพักแต่เช้า แม่อาจารย์ทองสุขบอกว่า “โมโหก็โมโห ขันก็ขัน” ท่านเล่าว่า เมื่อหลวงพ่อดำริเรื่องโรงเรียนนั้น ราคาโรงเรียนเป็นเงินเกือบ 3 ล้าน ลูกศิษย์ลูกหาก็ท้อใจ กลัวจะไม่สำเร็จ บางคนก็พากันคัดค้านว่าหลังใหญ่ไป จะหาเงินที่ไหนกันราคาตั้ง 3 ล้านบาท เวลานั้นเองเงินแสนก็ยังไม่มี หลวงพ่อท่านก็ว่า “ไม่เป็นไรดอกไอ้สุข โคตรทอง มี เอ็งยังไม่เคยเห็น พ่อเห็นแล้ว”

   พอได้ยินคำว่า “โคตรทอง” เท่านั้น แม่อาจารย์ทองสุขก็ตาโต หูผึ่ง ต่อจากนั้นมาก็คอยหนีหลวงพ่อเสมอ เพราะอยากเห็นโคตรทอง แต่หนีไปเที่ยวในขณะเข้าฌานนั้น 6 ครั้งแล้ว ก็ยังไม่ได้พบโคตรทองเลย ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน

 วันหนึ่งได้ปัญญาฉลาดขึ้น จึงแอบถาม ม้าแก้วของหลวงพ่อว่า พาหลวงพ่อท่องเที่ยวไปนั้น เคยเห็นโคตรทองอยู่ที่ไหน ม้าแก้วประจำองค์หลวงพ่อ ก็ตอบว่า “อยู่ในถ้ำ”
   “ในถ้ำไหน แม่อาจารย์ซักใหญ่
   “ในถ้ำไปทางทิศตะวันออก ถ้าพบพระภูมิขี่เสือให้ถาม พระภูมิจะบอกให้”

   อาจารย์จำได้แม่น คืนหนึ่ง หลวงพ่อไม่อยู่ ก็จัดแจงเข้าที่ พอจิตนิ่งดี ก็ถอดจิตออกจากร่าง เนรมิตรูปร่างเหมือนกายมนุษย์ขี่ม้าแก้วประจำตัว ที่พระพรหมให้ แล้วเหาะไปทางทิศตะวันออก ไปไกลมากแล้วจึงนึกถึงพระภูมิขี่เสือ ไม่ทราบว่าชื่ออะไรและอยู่ตรงไหน แต่พอนึกถึงสักครู่เดียว ก็เห็นถนัด จึงชักม้าเข้าไปถามว่า ถ้ำที่มีโคตรทองอยู่ทางไหน พระภูมิใจดีก็ชี้ทางให้ อาจารย์ขอบใจ แล้วขี่ม้าวิ่งห้อไปตามทาง ที่พระภูมิชี้มือบอกมา พักใหญ่ก็แลเห็นภูเขาดำทะมึนขวางหน้า เมื่อเข้าไปใกล้ จึงเห็นปากถ้ำใหญ่โต ขนาดรถยนต์คันใหญ่เข้าได้ จึงหยุดม้า แอบข้างหลืบเขา เพื่อหาช่องทางจะเข้าไปในถ้ำ สักครู่หนึ่ง ก็แลเห็นยักษ์ 2 ตน เดินออกมา ยักษ์ตนหนึ่งปิดประตู อีกตนหนึ่งเอาป้ายสีขาวๆ มีตัวหนังสืออยู่ 3 แถว แขวนไว้ที่หน้าถ้ำ แล้วก็พากันเหาะไป อาจารย์ดีใจมาก พูดกับม้าว่า    "พ่อม้าแก้วเราเข้าไปเถอะ” เมื่อไปถึงหน้าถ้ำ ก็เอาป้ายที่มีตัวหนังสือนั้นออก แล้วลองผลักประตู แต่ผลักไม่ออก พยายามผลักอีกหลายครั้งก็ไม่ได้ผล พอได้ยินเสียงลิงร้องเจี๊ยกๆ โผล่หน้าอยู่เหนือประตูน้ำ อาจารย์จึงเงยหน้าขึ้นพูดกับลิงว่า “กุญแจอยู่ที่ไหน ช่วยหยิบทีเถอะพ่อลิง”

(เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 106 โดยสิงหล 13 พ.ย. 58

 


โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 106 โดยสิงหล 13 พ.ย. 58


  โคตรทอง – กระบองเพชร

   เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างแม่ชีทองสุขเรียนใหม่ๆ ท่านบอกว่า ในขณะนั้น มันช่างอยากรู้อยากเห็นไปเสียทั้งนั้น พอว่างงานคืนไหน อยู่เวรและหลวงพ่อไม่อยู่ไปกิจนอกวัด แม่อาจารย์ทองสุข ก็มักจะฉวยโอกาสเถลไถลออกไปข้างนอก เรื่องที่เคยทำ ไปเที่ยวหาเรื่องหัวเราะกันเสมอ

   การไปเที่ยวไหนๆขณะที่ทำสมาธินั้น แม่อาจารย์ทองสุข ก็มักปกปิดหลวงพ่อ เพราะกลัวท่านดุว่า ไม่ตั้งใจรักษาคนไข้ หรือช่วยเหลือบ้านเมือง ตามที่ท่านสั่งให้ช่วย เช่น น้ำท่วมเรือกสวนไร่นา ของราษฎร ทำให้เสียหาย ท่านก็สั่งให้พวกที่ได้วิชชาธรรมกาย ทดน้ำแยกแผ่นดินให้น้ำแห้ง ถ้าฝนแล้ง ท่านก็สั่งทำวิชชาช่วยให้ฝนตก แม้ศัตรูมาทิ้งระเบิด ก็สั่งให้ครูจันทร์ขึ้นป้องกัน ปัดลูกระเบิดไปลงทะเล ฯลฯ


   วันหนึ่ง แม่อาจารย์ทองสุขทำสมาธิ แล้วหนีไปเที่ยว การเที่ยวคืนนั้น ได้รับความตกใจเป็นอันมาก ครั้นพอดึกออกจากสมาธิแล้ว ใจยังเต้นตึกๆอยู่ ก็พอได้ยินหลวงพ่อ ถามอย่างดังๆว่า

“ไอ้สุข เอ็งไปไหนมา”


   แม่อาจารย์ทองสุข สะดุ้งเฮือกขึ้นทั้งตัว พนมมือตอบอ้อมแอ้มอยู่ในคอ ว่าอะไรตัวเองก็บอกไม่ถูก


   เสียงหลวงพ่อดุดังลั่น            “สุขเอ็งชักจะเหลวไหล มากไปแล้ว เอ็งคิดว่าพ่อไม่รู้หรือ ว่าเอ็งจะไปขโมยทองเขามา”

   “ใครบอกหลวงพ่อ”

   “เจ้าของเขามาฟ้องล่ะซี เอ็งขโมยเขาจริงไหมล่ะ”

   “ลูกไม่ได้ขโมย คิดว่าไม่มีเจ้าของ ก็จับดูหน่อยเท่านั้นแหละ แหม! ต้องมาฟ้องด้วย” แล้วนึกในใจว่า “ไอ้ยักษ์บ้า”

   เอ็งมันโง่ โง่แล้วยังอยากหนีเที่ยว


 เมื่อคืนถ้าพ่อไม่ห้ามมัน เอ็งก็หัวบี้แบนไปแล้ว ซุกซนไม่เข้าเรื่อง เป็นผู้หญิงยิงเรือ ทำอวดดีไปเถอะ” เสียงหลวงพ่อบ่น แล้วก็หันไปสั่งงานคนอื่นต่อไปว่า “เขามาบอกว่า ทางราชบุรีฝนแล้งจริงๆ ใครอยู่เวรช่วยเร่งฝน ให้เขาหน่อย”


(เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 105 โดยสิงหล 12 พ.ย. 58

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 105 โดยสิงหล 12 พ.ย. 58
   แม่อาจารย์ทองสุขเดินคุยมากับเจ้าพนักงานหญิงในยมโลก โดยผ่านบ้านเรือนที่สวยงาม และมีผู้คนที่รื่นเริงสนุกสนานมาเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง จึงออกจากประตูกำแพง และเห็นม้าแก้วคอยอยู่ข้างนอก 
ก็แปลกใจว่าทำไมม้า จึงมารอรับได้อย่างถูกต้อง เพราะไม่ใช่ประตูเดียวกับที่เข้าไป

 เจ้าพนักงานหญิงคนนั้นก็รู้ใจ จึงบอกว่าได้ให้ม้ามารอรับ อยู่ทางประตูนี้เอง และบอกกับแม่อาจารย์ทองสุข ว่า 
“ให้บอกหลวงพ่อด้วย ชีบุญขอฝาก กราบหลวงพ่อด้วย”

   แม่อาจารย์ทองสุขฟังแล้ว ก็ประหลาดใจร้องว่า “อ้อ นี่เป็นแม่ชีบุญมาหรือ ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยซิ แหม จำได้ก็ไม่บอก นึกแล้วเชียวว่า หน้าเหมือนใคร ที่รู้จักกันนานแล้ว"

 พนักงานหญิงจึงว่า “จะเล่าให้ฟังอย่างสั้นๆนะ เพราะเดี๋ยวหลวงพ่อ จะคอยนาน เมื่อฉันบวชอยู่นั้นก็พยายามทำความดี ปฏิบัติธรรมอย่างหลวงพ่อ ท่านเคยชมว่าฉันเรียบร้อยและซื่อตรงนั่นแหละ แต่ความชั่วของฉันมีมาแต่ก่อนบวช สามีของฉันเขาชอบตีไก่ เล่นพนันแทงม้า บางทีก็ให้ฉันฆ่าไก่ตัวที่แพ้มาต้มข่าให้กิน ฉันก็คอยยินดีทำให้เขาด้วย เลยเป็นคนหลงไปเกือบ 10 ปี จึงได้คิดหนีสามี เข้าวัดโกนหัวนุ่งขาว บวชเรียนกับหลวงพ่อ
 ครั้นฉันตายแล้วต้องชดใช้กรรมอยู่นาน เมื่อกรรมหนักเบาแล้ว ก็ต้องมาเป็นพนักงานอยู่อย่างนี้ ต้องเห็นคนต้องโทษร้องครวญครางอยู่ทุกวัน เพราะโทษที่ชอบดูไก่ตีกัน ซึ่งเป็นการทรมานสัตว์ 
เอาเถอะ รีบกลับไปเถอะ หลวงพ่อท่านเรียกแล้ว

    (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 104 โดยสิงหล 11 พ.ย. 58

โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอนที่ 104 โดยสิงหล 11 พ.ย. 58
   พนักงานหญิงในยมโลกตอบว่า “ต่างกันที่บุญกุศล ซึ่งได้ทำมาแล้วแต่ชาติก่อน แม้คนที่จะไปเกิดในเมืองมนุษย์ด้วยกัน ก็ยังแตกต่างกันอีกเป็นหลายสิบจำพวก บางคนไปเกิดในตระกูลพ่อแม่มียศถาบรรดาศักดิ์ ร่ำรวยอย่างมหาศาล แต่เมื่อได้เข้าไปในท้องแม่แล้ว พอโตหน่อย ก็ต้องกลายเป็นพิการไป หรือบางคนไม่พิการแต่ประพฤติตัวเหลวไหล ใช้จ่ายเงินทองที่พ่อแม่ให้อย่างย่อยยับหมด ตัวเองกลับต้องลำบากยากจนลงอีก ก็เคยมีเสมอ บางคนไปเข้าท้องคนชาวนา อย่างยากจน แต่พอโตขึ้นมีคนไปรับเลี้ยง ให้เล่าเรียนดี ก็ได้เป็นใหญ่เป็นโต มีความสุขสำราญ ทุกชีวิตเป็นไปตาม กรรมของเขาที่ได้สร้างสมมา ทั้งสิ้น”
 แม่อาจารย์ทองสุขฟังแล้วจึงว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกที่จะได้ไปเกิดเป็น เทวดานางฟ้า จึงจะสวยกว่าพวกที่ไปเกิดเป็นคนในเมืองมนุษย์กระมัง”

 เจ้าพนักงานหญิง ผู้นั้นตอบว่า “ถ้าพูดอย่างทั่วๆไป ไม่เจาะจง ก็ว่าสบายกว่ากันหลายร้อยเท่า แต่วิญญาณที่ฉลาดบางดวง ก็ไม่อยากไปจุติในสวรรค์ ยังคงอยากไปเข้าท้องมนุษย์อยู่นั่นเอง เพราะในเมืองสวรรค์นั้น มีความสุขสบายอยู่มากก็จริง แต่ความหลงระเริงยังมีมาก หลงในความสนุกสนาน หลงในอำนาจถือตัวเป็นใหญ่ หลงติดในสมบัติต่างๆ ลืมตัวไม่คิดถึงความจริง อริยสัจ เมื่อถึงคราวหมดบุญจะจุติ จึงได้คิดและเสียใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้เสียแล้ว เป็นเสียอย่างนี้ ร้อยก็เกือบทั้งร้อย

 คนที่มีความทุกข์ เช่นคนในเมืองมนุษย์ ก็มีประโยชน์ดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะเมื่อเกิดทุกข์ก็ย่อมดิ้นรนจะหาทางปลดเปลื้องความทุกข์ จึงเป็นเหตุให้บางคน เข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อุตส่าห์บำเพ็ญความดีไป ก็อาจจะได้เข้าถึง ขั้นพระอริยะบุคคล เป็นพระโสดาบันหรือสูงกว่านั้นขึ้นไปได้ง่ายกว่า พวกติดสุข หลงสุขในทางกามารมณ์ บนสวรรค์   

    (เรื่องเล่าโดย แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม 2)