บุคคลยุคต้นวิชชา ๒ พระครูสมุทรกวี (หลวงพ่อจําลอง อาสโภ [เนตรนิยม]) เจ้าคณะอําเภอบางคนที จ.สมุทรสงคราม 0157-0166

“ท่านเป็นพ่อที่ยิ่งกว่าพ่อ"

“ไปอยู่กรุงเทพฯเปล่า” “ไปสิ” หลังจากอาจารย์พร้อมชวนฉัน ฉันก็ตัดสินใจที่จะไปอยู่กรุงเทพฯทันที เพราะในสมัยนั้นสํานักเรียนบาลี หายากเหลือเกิน บ้านเดิมฉันอยู่เมืองกาญจน์ พอบวชแล้วก็เลือกหา สํานักเรียน มาอยู่ที่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี สํานักเรียนเขาก็เลิก หมด เมื่อที่นี่ไม่มีสํานักเรียนแล้วก็เลยตัดสินใจไปอยู่วัดปากน้ํา คืนนั้นรีบ เก็บข้าวของลงเรือ ตอน ๒ ทุ่มกว่าๆ ของปี ๒๔๙๕ นั่งเรือมาวัดปากน้ํา พอถึงวัดก็เข้าไปหาหลวงพ่อ

หลวงพ่อก็ถามว่า “มีที่อยู่หรือยัง” “มีแล้วครับ” พอดีมีเพื่อนเยอะเป็นคนอําเภอ สองพี่น้องด้วยกันก็เลยไปอยู่ด้วย ในสมัยนั้นที่อยู่หายาก มาก แบบว่ามีที่ซุกหัวนอน ได้ก็ดีแล้ว ใช้เสื่อปูนอน กุฏิก็เล็ก พระอยู่กันเต็ม ถ้าไม่มีที่อยู่ก็เอาที่ระหว่างกุฏิที่อยู่ติดกับพื้น แหละเป็นที่อยู่ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นมาก ดังที่เขาเรียกแหละว่า “ผลไม้ ดก นกชุม ปลาชอบอาศัย” การที่เราอยู่กับท่านมันยิ่งกว่าพ่อกับลูก

โอ้...บารมีของท่านมากมายเหลือเกิน พระเณรสี่ห้าร้อย ไม่มีใคร กล้าทําความชั่ว จะทําผิดสักอย่างไม่ค่อยมีเลยเพราะหลวงพ่อท่านรู้หมด เหมือนกับว่าเราไปอยู่ในหัวใจของท่านและท่านก็อยู่ในใจของเรา พอฉันเช้าเสร็จก็เข้าโบสถ์ เสียงระฆังตี แหง่งๆ... ตอน 5 โมง หลวงพ่อท่านก็มาฉัน พระลูกวัดฉันอย่างไรท่านก็ฉันเหมือนกัน พระ หมดทั้งวัดต้องมาสวดมนต์ทําวัตรกันหมด แต่บางคราว หลวงพ่อก็ปล่อยเหมือนกันคือบางทีถ้าไม่มีเวลาก็ไม่ได้สวดท่านกลัวเสียเวลาเรียน หลวงพ่อบอกว่า “เรานั่งกรรมฐานแล้ว การสวดมนต์ก็คือการนั่งกรรม ฐาน แล้วการนั่งมันตรงกว่า ใจมันเข้าถึงกว่า”

หลังสวดมนต์เสร็จ ก็จะได้ฟังโอวาทหลวงพ่อทุกวันประมาณ ๑๐ นาที ส่วนใหญ่พวกเรียนบาลี พวกฉันจะไม่ค่อยได้เข้าไปในโบสถ์หรอก เพราะโบสถ์เต็ม ต้องออกันอยู่ข้างนอก สวดมนต์ก็สวดอยู่ตรงนั้นหละ พอหลวงพ่อให้โอวาทประมาณ ๑๐ นาทีเสร็จแล้ว นาทีระทึกก็มาถึง หลวงพ่อท่านจะพูดขึ้นเลยนะ พระเณรองค์ไหนทําไม่ดี หนีไปเที่ยว ราวกับว่าท่านรู้ทุกอิริยาบท จึงไม่มีใครกล้าทําความชั่วเลย

หลวงพ่อเป็นผู้ที่รู้ใจหมด จําได้ว่าครั้งหนึ่ง เขามาฉายหนังอินเดีย

พระเณรพากันดูเต็มไปหมด อยากจะดูเพราะว่าเขาพาไปอินเดียนี่ ดูกัน

อยู่ที่ชั้น ๓ แล้วหลวงพ่อท่านก็ขึ้นไป แต่ว่าไฟเกิดดับขึ้นมาพอหลวงพ่อท่านลงไปสักพักเขาก็ แก้เครื่องได้แล้วก็ฉายได้ต่อไป เชื่อไหม? พอรุ่งเช้าเข้าโบสถ์ หลวงพ่อ ท่านก็บรรยายให้ฟังเรียบร้อยเลยว่าอินเดียเป็นอย่างไรเหมือนกับท่านไปดูเอง ท่านเคยพูดไว้นะว่า “เรื่องหนัง เรื่องละคร ไม่ต้องไปดู ได้กรรมฐานมันก็ได้ดู ดูที่ไหนก็ดูได้”

ท่านให้ความเมตตา ความรัก ความสงสาร ไม่เคยลําเอียงไม่ เคยอคติ ไม่ว่าจะมาจากภาคเหนือ อีสาน หรือใต้ มีทุกภาคเต็มไปหมด เป็นยิ่งกว่าพ่อกับลูก เอาใจใส่เป็นภาระให้กับลูกศิษย์หมด ใครเจ็บไข้ได้ ป่วยท่านดูแล ความเมตตาความเสียสละท่านมีอย่างสูงสุด

แม้แต่ผ้าจีวรหายากมาก ปีนั้นฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเขาไม่มีจีวร สมัยนั้นจะมีจีวรทําด้วยผ้าป่าน หลวงพ่อท่านชอบห่มป่าน เพื่อนก็ เข้าไปกราบบอกหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับผมไม่มีจีวรครับ” ท่านก็ บอกให้คนไปหยิบจีวรมาให้ ป่านอย่างดีเลยนะจีวรผืนนั้น ท่านไม่ติด ของไม่ติดอะไรทั้งนั้น เพราะท่านปรารถนาจะสําเร็จสัมมาสัมโพธิญาณ หลวงพ่อท่านเป็นผู้ที่เคารพธรรมะ เคารพการศึกษา ท่านเจ้า คุณสมเด็จช่วงองค์ปัจจุบัน ท่านก็ส่งไปเรียนวัดเบญฯ จนได้เปรียญ ๙ ประโยคกลับมา บางครั้งหลวงพ่อวัดปากน้ําขึ้นเทศน์ ท่านจะนั่งหลับตา เทศน์ เราจะฟังท่านเข้าใจในช่วงต้นๆ แต่พอปลายๆ จะไม่เข้าใจ ละเอียด จริงๆ ไม่รู้ท่านได้ค้นคว้ามาจากไหน พระเปรียญธรรมสูงๆ อย่างเปรียญ ธรรม ๙ ยังงงเลย เดี๋ยวหลวงพ่อยกธรรมะขึ้น เดี๋ยวยกบาลีขึ้น ท่าน แตกฉานจริงๆ แล้วคนที่มาฟังนะ ไม่ต้องห่วงเลยเต็มศาลาไปหมด เย็น วันพระท่านก็จะเทศน์ บางทีก็จะให้มหาช่วงเทศน์ แล้วท่านก็จะนั่งฟังตลอด หลวงพ่อสดท่านมีพระรัตนตรัยในหัวใจ บางครั้งท่านพูดไปๆ ท่านก็บอกว่า ถ้าหากธรรมะสูงๆจริงๆ ท่านไม่ได้พูด ท่านอาราธนาพรหมมา

พูด ท่านพูดอย่างนี้จริงๆ ที่ท่านพูดอย่างนี้จะแฝงเรื่องราวในส่วนละเอียดอย่างไรฉันก็ไม่รู้ เหมือนกัน อย่างเรื่องพระของขวัญท่านก็พูดฉันได้ยินเต็มหูเลยว่า “พระของขวัญของฉันนะไม่ได้ทําด้วยวิชามาร ฉันอาราธนาพรหมมารักษา”

หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านจะแบ่งหน้าที่ของพระเณรไว้อย่างชัดเจน

ก็มีอยู่ ๒ อย่าง มีวิปัสสนาธุระกับคันถธุระ ใครอยากเรียนบาลี เรียน นักธรรมก็เรียนไป ถ้าหากไม่เรียนบาลีก็ให้เรียนวิปัสสนาธุระเรียนกันไป ท่านไม่เข้มงวด อิสระ แต่ถ้าหากว่าใครจะเรียนทางโลกท่านก็จะเตือนว่า ควรจะได้นักธรรมให้มีแนวทางให้เราได้ยึดปฏิบัติเสียก่อน ถ้าหากว่าเรา จะเอาทางโลกอย่างเดียว พวกนั้นนะสึกหมด ที่ก่อนนี้ที่ติดริมน้ํา หลังหอฉันใหม่ในปัจจุบัน จะเป็นกุฏิของแม่ชี กุฏิแม่ชีก็มีอยู่หลายที่ ปัจจุบันเป็นพื้นที่วัดจนหมด แม่ชีทั้งหมดราว ๔๐๐ คน เด็กวัดก็ประมาน ๓๐๐ พากันพักอาศัยอยู่ตามกุฏิพระ กุฏิเณร บางทีก็นอนหน้ากุฏิ ลูกศิษย์วัดเหล่านี้ก็จะเรียน เรียนธรรมศาสตร์บ้าง เรียนจุฬาบ้าง เรียนมัธยมบ้าง หลวงพ่อท่านเมตตารับเอาไว้หมด รับ ทุกคนขอให้มีที่อยู่เท่านั้น ท่านสร้างโรงเรียนปริยัติใหญ่ที่สุด สร้างเสร็จ ก่อนที่ฉันจะมาอยู่วัดปากน้ําเสียอีก ตอนนั้นยังใหม่ๆ อยู่เลย ฉันยังจํา ได้บางทีก็นั่งกรรมฐานที่นั้นนั่นแหละ บางทีฉันก็นัดกับเพื่อนว่า คืนนี้ เราจะไม่นอนไปนั่งกรรมฐาน โอ้ย... ราตรีนี้ยาวนานจริงๆ เขาว่าราตรี จะยาวนั้น คือ ๑.คนขี้โรคมีโรค ๒.คนที่ทําความเพียร ต.กามราคะพวก มักมากในกาม พวกนี้จะเห็นราตรียาว นั่งกรรมฐานกว่าเข็มนาฬิกาจะตี ปัดไปอีกชั่วโมงหนึ่ง นานเหลือเกิน พอเราไม่ไหวจริงๆ ก็ลุกเดิน เพราะ ตั้งใจจะไม่นอน นึกถึงสมัยโบราณ พระจักขุบาล ก็อธิษฐานพรรษา บอกว่าตนจะอยู่ในอิริยาบท ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง จะไม่นอน

พระของขวัญท่านแจกให้ผู้ที่สร้างโรงเรียน ไม่ได้ขายนะ แต่ เป็นของขวัญแก่ผู้ทําบุญ ท่านพูดเรื่อยๆ “ต่อไปมันจะดังมากให้รักษาไว้

ให้ดี” องค์ละ ๒๕ บาท ฉันก็ได้รุ่น ๒ มา รุ่น ๒ ก็คือรุ่นหนึ่ง แต่ก่อน โดนน้ําแล้วมันยุ่ยรุ่นแรกๆ นะยุ่ย หลวงพ่อท่านก็เลยใส่น้ํามันตั้งอิ้วและ ชุบเชลแล็ก กลายเป็นรุ่น ๒ หลวงพ่อบอกว่าท่านทํา ๓ รุ่นนะ รุ่นละ ๘๔,๐๐๐ องค์ พระวัดปากน้ํามีเคล็ดอยู่อย่างคือ คนหนึ่งต้องมีองค์เดียว ถ้าเราทําหายไปขอท่านไม่ได้ ท่านให้องค์เดียว ถ้าหายไปขอใหม่ท่านก็จะ บอกว่าภาวนาสิ นั่งภาวนาเข้าไป อาราธนาสิ เดี๋ยวท่านก็กลับมาเองละ ปาฏิหารย์ของพระของขวัญนี้ ต้องตกอับจริงๆ จึงจะเจอ

อานุภาพฉันประสบกับ ตัวเอง เกี่ยวกับเรื่องเข้าตาจน ตอนนั้นฉันไปอุดร รุ่งขึ้นฉันต้องมาบวชนาคที่วัดนี้ ทุ่มกว่าฉันยังอยู่อุดร ก็ตั้งใจจะกลับรถทัวร์มาถึงที่วัดประมาณ ๓ โมงเช้าพอดี ปรากฏว่ารถทัวร์ไม่มี เต็มหมดทุกที่ ช่วงเข้าพรรษาแล้วจะทําอย่างไร คนแน่นมาจากหนองคายพอถึงอุดรเขาก็ไล่ฉันลง ไม่ใช่ โรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดปากน้ํา ภาษีเจริญ รถทัวร์ด้วยนะเป็นรถ บขส. เขาบอกว่าเขาจองตั๋วเต็มหมดแล้วไปไม่ได้ เราไม่เคยเป็นทุกข์อย่างนี้ มีคนนั่งอยู่แถวนั้น เห็นฉันคล้ายๆ คนไม่ สบายใจ ก็มาถามว่าจะไปไหนก็บอกว่าจะไปกรุงเทพฯ จะไปบวชพรุ่งนี้ เขาบอกว่ารถขบวนสินค้ามาถึงกรุงเทพฯ ประมาณ ๑๐ โมงเช้า ก็บอกว่าไม่ได้ เชื่อไหมนะเราคิดนะ “หลวงพ่อช่วยลูกด้วย” ก็มีรถ สามล้อมาถามว่าเราจะไปไหนครับ ก็ถามเขาว่า “ไปกรุงเทพฯ มี รถไหม” เขาบอกว่าหมดตั้งแต่ ๕ โมงเย็นแล้ว แล้วเขาก็เรียกขึ้นรถ แล้วจึงไปที่รถทัวร์ใหม่ เชื่อฉันสิพอถึงรถทัวร์เขาก็ไชโยออกมาเลย เขาเพิ่มรถอีก ๑๐ กว่าคัน โอ้โห...ฉันดีใจแทบแย่ มีเพื่อนฉันไป บางแคว้นนั้นรถเมล์หมด ๔ ทุ่มก็นึกว่า “หลวงพ่อช่วยลูกด้วย” พอพูด ไม่ทันขาดคํารถเก๋งเลี้ยวเข้ามา “หลวงพี่จะไปไหนครับเดี๋ยวผมจะไปส่ง โอ้โห...ฉันเชื่อจริงๆ เอาติดตัวเถอะ เอาติดตัวองค์เดียวพอ อุปสรรค อันตรายหายหมด

หลวงพ่อสดเล่าให้ฟังว่า วิชชาธรรมกายกว่าจะค้นเจอ ค้นพบได้ ใช้เวลาถึง ๓๐ กว่าปี เพราะเมื่อก่อนหลวงพ่อท่านบวช ท่านก็ศึกษา วิปัสสนากรรมฐานตามหลัก ท่านบอกว่า “มันอ้อม” ท่านก็เลยพยายาม ค้นวิชชาธรรมกายนี้ จนได้ทางตรงนี้ขึ้นมาเป็น สัมมาอะระหัง หลวงพ่อ เทศน์เสร็จแต่ละครั้งคนจะสาธุดังลั่นทั่วศาลา ใครได้ฟังเทศน์จากหลวงพ่อ นับว่ามีบุญวาสนา ธรรมะลึกมากๆ ตอนแรกพอฟังออกฟังเข้าใจ พอ หนักเข้าๆ ฟังไม่ออกแล้วเพราะว่าสูงมาก หลวงพ่อพูดละเอียดในละเอียด หยาบในหยาบ สุดหยาบสุดละเอียด ท่านพูดไปคล้ายท่านเห็นไปด้วย หลวงพ่อบอกว่าที่ท่านมรณภาพนะ ท่านสู้กับพญามารมาก ไปปราบพญามาร ไม่ใช่เสียใจ เรื่องพระฝรั่งอย่างใครว่ากันแต่เป็นเพราะท่านสู้กับมาร ตรากตรํางานหนัก ยังไงท่านก็ไม่ยอมแพ้ เคยได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อคําหนึ่ง กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพยาก ตาธรรมา ท่านสอนใน โบสถ์ ท่านบอกว่ามันมี ฝ่ายดํา ฝ่ายขาว ฝ่ายไม่ดํา ไม่ขาว....ฝ่ายขาว คือพระพุทธเจ้าของเราก็พยายามส่งกระแสส่งสาร ให้คนทําความดีให้มากที่สุด แต่ฝ่ายดําเขาส่งสาร ให้คนทําความชั่วให้ มากที่สุด ส่วนไม่ดําไม่ขาวนี้ ถ้าเห็นว่าฝ่ายไหนมีกําลังมากก็จะสามารถ เอาไปได้ ท่านเล่าตอนหนึ่งว่า ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ พญามารก็ โผลขึ้นมาเลย ผุดขึ้นมาถามพระพุทธเจ้าว่า “จะสู้กับเราหรือจะสอน ประชาชน” พระพุทธเจ้าท่านตรวจดูแล้วท่านก็บอกว่า “เราจะไม่สู้เรา จะสอนประชาชน” พญามารก็บอกว่า “เจ้าก็ทําไป” จะเห็นได้ว่าตอน ที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจะสําเร็จหมด เพราะพญามารเขาเปิด แล้ว

ทีนี้หนักเข้าๆพญามารก็เอาล่ะสิเห็นพุทธบริษัทมากขึ้นคนทําความดีมากขึ้น พญามารอยู่ไม่ได้ ก็ทําให้พระปาราชิกบ้าง อาบัติบ้างเรื่อยไป พระพุทธเจ้า ก็เข้าฌานถาม ไหนว่าจะไม่รบกวนไง พญามารก็บอกว่า มันเป็นวิชชา ของพญามาร ท่านมีหน้าที่สั่งสอนก็สั่งสอนไปสิ มีหน้าที่บัญญัติสิกขาบท ก็บัญญัติไปสิ มาระยะหลังก็เพิ่มบัญญัติ อันนี้เป็นสิ่งที่เราไม่เคยฟังมาก่อน หลวงพ่อสดท่านเล่าให้ฟัง เวลาเราจะสอนคน เราจะดูคนก่อน ถ้า หากว่าเขาเป็นลูกศิษย์เราจริงๆ สนใจธรรมะของหลวงพ่อสดจริง เราจึง จะเล่าว่าหลวงพ่อท่านเคยพูดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราก็เป็นสาวกของ พระพุทธเจ้าฝ่ายขาวของเรา

วันพฤหัส หลวงพ่อท่านจะลงสอนวิชชาธรรมกาย ถึงคนอื่นจะ พลาดแต่บ่ายวันพฤหัส ฉันไม่เคยพลาดเลย ฉันจะไปนั่งกับหลวงพ่อ

เรื่ององคุลีมารนี้จําแม่นเลย “สมณะหยุด” ท่านต้องการคําว่าหยุดคําเดียว คําว่าหยุดคือตัวถึง ถ้าโลกเขาไปเร็วเท่าไร ไปจรวด ไปดาวเทียม เขา ยิ่งเร็วยิ่งถึง แต่ทางธรรมะเรา “หยุด” ได้มากเท่าไหร่คือถึง หลวงพ่อ ท่านอธิบายธรรมะสนุกเข้าใจเล่า ทิ้งจังหวะได้ดี หลวงพ่อสดท่านพูด ประจําว่า การนั่งภาวนาได้บุญมาก ใจหยุดเพียงชั่วช้างกระดิกหู หรืองูแลบลิ้น ได้อานิสงส์กว่าการสร้างศาลาการเปรียญอีกเพราะ มันทางตรง วันหนึ่งเรานั่งสัก ๕ นาที ๑๐ นาที ทําไปเรื่อยๆ การ นั่งกรรมฐาน นั่งไปก็เกิดปัญญาเหมือนกับคนขุดน้ําบาดาล ขุดพอ ถึงดินแล้วเราก็นึกว่าไม่มีน้ํา ลองเจาะไปอีกสักพักสิ บางทีน้ํามันจะ อยู่ใต้ดิน กรรมฐานก็เหมือนกัน ลองนั่งต่อไปสักพักสิมันจะสบาย แต่ส่วนใหญ่พอเราเมื่อยเราก็จะเลิกก่อน หลวงพ่อสดบอกว่าต้องให้ จริง จริงขนาดไหน แค่ชีวิตสิพอใกล้จะตายแล้วมันไม่ตายหรอก สําเร็จทุกที หลวงพ่อท่านมีคติธรรมอยู่ข้อหนึ่งว่า “ขุดบ่อล่อธารา สู่อุตส่าห์ขุดเรื่อยไป ขุดตื้นน้ําไม่มี ขุดถึงที่น้ําจึงไหล” ฉันเองอยู่กับ หลวงพ่อนับรวมเวลาแล้ว 5 ปี คิดว่าฉันนะยังมีบุญได้โกนผมหลวงพ่อ ตอนที่ท่านป่วย คือว่าวัดปากน้ําก็มีหลายฝ่าย ฉันเองก็เหมือนฝ่ายรัฐบาล อยู่กับหลวงพ่อก็ช่วยทํางานหลังเลิกเรียน แล้วโบสถ์ของหลวงพ่อ เราก็ซื้อทํากันเอง โบสถ์หลังเก่าก็มาซ่อมใหม่

ฉันจะเข้านั่งกรรมฐานกับหลวงพ่อไม่ เคยขาด เวลานั่งกับท่าน ท่านรู้เข้าใจเรา หมด แนวของท่านดีมากง่ายต่อการปฏิบัติ ครั้งอยู่เมืองกาญจน์ก็เคยขึ้นกรรมฐาน พอ มาวัดปากน้ําก็เลิกจากทางโน้นมาเอาวิธี ของวัดปากน้ําเพราะง่ายกว่า คือหลวงพ่อจะชี้จุดกรรมฐานที่เรานั่ง ที่เราเคยไปเรียนมา ไม่มีหลักมีแต่ภาวนา อย่างเดียว ภาวนาเรื่อยไป ทีนี้หลวงพ่อบอกว่ามีจุดอยู่และมีลูกแก้วอยู่ กลางตัวเรา อธิบายให้ฟังบอกว่าให้ใจนิ่งอยู่ตรงนั้นมันจึงดูง่ายขึ้น อยู่ ตรงไหนเราก็ทําได้ทั้ง นั่ง นอน ยืน เดิน เราทําได้ทั้งนั้น แม้แต่เข้า ห้องน้ําเราก็ทําได้ มันเป็นอกาลิโก ไม่จํากัดด้วยกาลเวลา แล้วบางที เราก็จะไปนั่งกับพระอาจารย์บ้าง แม่ชีบ้าง อยู่ในวัดนั้นแหละ หลวงพ่อ จะสอนธรรม แต่เฉพาะวันพฤหัสเท่านั้น วันอื่นๆ เราก็ไปนั่งกุฏิแม่ชีที่ เขานั่งได้ธรรมกาย ตอนนั้นก็มีฉัน มหาอุ้ย มหาอํานวย (รองเจ้าคณะ จ. ลพบุรี) ตอนนี้ก็ยังอยู่ แม่ชีที่นั้นนั่งด้วยเกือบทุกคืนคือ แม่ชีจันทร์ อาจจะสงสัยว่าพระเณรไปนั่งกับแม่ชีได้อย่างไร คือเวลานั่งก็ทําอาสนะ สูงไว้ต่างหาก เขาทําไว้สูงเลยมีระเบียงอยู่ แม่ชีนั่งแถบหนึ่ง พระก็นั่ง อีกแถบหนึ่ง แม่ชีก็แนะนําธรรมะ ซึ่งธรรมะเป็นของสูงอยู่แล้ว การแนะนําธรรมะกับพระแนะนําได้ไม่มีปัญหาเพราะว่าเขาปฏิบัติได้ธรรมกาย เขาก็สอนได้ไม่มีปัญหา

อยู่กับหลวงพ่อวัดปากน้ํา อบอุ่นมาก เป็นพ่อที่ยิ่งกว่าพ่อ เวลา พระเจ็บพระป่วย ท่านก็จะบอกพระบอกชีที่ได้ธรรมกายช่วยกันแก้ไขให้ พระธรรมกายแก้โรค หลวงพ่อจะนั่งกรรมฐานให้ แล้วก็หายจากโรค พอปี ๒๕๐๒ หลวงพ่อท่านมรณภาพ ฉันก็อยู่ที่วัดปากน้ําต่ออีก ๒ ปี พอปี ๒๕๐๔ พอดีที่นี่ (วัดกลางเหนือ) เขาขาดครูสอนบาลีพอดี เจ้าคุณที่วัดนี้ก็เป็น คนเมืองกาญจนบุรีแนะนําให้มาช่วยสอนบาลี จึงได้มาช่วย ตอนนี้อายุ ๒๕ แล้ว ออกมาจากวัดปากน้ําตั้งแต่อายุ ๒๔ ปี อยู่ที่นี้ได้ ๔๐ ปีแล้ว ฉัน เคยคิดอยู่ในใจว่า ถ้าหลวงพ่อไม่สิ้นฉันจะไม่ออกมาหรอก