พระครูภาวนามงคล วัดป่าเจริญธรรมกาย จ.ร้อยเอ็ด
หลังจากที่หลับบ้าง ตื่นบ้าง ในรถมาทั้งคืน เราก็เดินทางมาถึงวัดป่าเจริญ ธรรมกาย จ.ร้อยเอ็ด ในตอนรุ่งเช้า ซึ่งเราทราบมาว่า หลวงพ่อเจ้าอาวาส วัดนี้ท่านเคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ วัดปากน้ํามาก่อน
วัดถูกซ่อนอยู่ในป่าอันเงียบสงบ หากไม่มีป้ายบอกตรงปากทาง
เข้าวัด เราคงมาไม่ถึงวัดเป็นแน่ แม้จะเดินทางมาทั้งคืนแต่หลังจากก้าว ลงจากรถ บรรยากาศของเช้าตรู่วันนี้ ก็ทําให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
เนื่องจากได้โทรศัพท์มานัดหมายหลวงพ่อท่านล่วงหน้าแล้วว่า
จะมาถึงในเช้าวันนี้ ดังนั้น หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ได้เข้าไปกราบนมัสการ และสนทนาธรรมกับท่านทันทีตั้งแต่เช้า ท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า
ชีวิตเริ่มต้นของอาตมาก่อนที่จะเล่าถึงการมาพบหลวงพ่อวัด
ปากน้ําคงต้องกล่าวถึงหลวงพ่อใสก่อน
หลวงพ่อใสท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ําองค์หนึ่ง และ หลวงพ่อใสก็เป็นพ่อแท้ๆ ของอาตมาเอง หลวงพ่อใสท่านบวชเป็นพระ เมื่ออายุ ๒๙ ปี สาเหตุก็มาจากแม่ของอาตมาตายหลังจากที่มีลูกด้วยกัน ๓ คน อาตมาเป็นลูกคนสุดท้อง
เดิมอาตมาชื่อหว่าน หลวงพ่อใสท่านเป็นพระที่เรียกได้ว่าภรรยาจากไปแล้วเกิดอาการทุกข์ใจ มีความทุกข์อย่างมหันต์ต้องหาที่พึ่ง
ทางฝ่ายญาติพี่น้องก็เห็นดีที่จะให้บวช เมื่อบวชแล้วก็มาอยู่ที่วัดดอนมะเกลือ และมุ่งมั่นที่จะแสวงหาอาจารย์ดังๆ เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ ท่านจึง เดินทางไปทุกหนทุกแห่ง ที่ไหนเล่าลือกันว่ามีอาจารย์ดีๆ ท่านก็ไป อาตมา ยังเป็นเด็กตอนนั้นอายุ ๔-๕ ขวบก็รอนแรมเดินตามท่านไปเรื่อยๆ ไป นอนที่วัดคลองมะดันยังจําในความรู้สึกได้ว่าท่านให้พระผู้ใหญ่องค์หนึ่ง เป่าศีรษะให้ มนต์คาถาที่ท่านใช้เป่าก็ดูเหมือนว่า จะเป็นคาถาของ พระพุทธเจ้านี่เอง คือ สวากขาโต สุปฏิปันโน อะไรอย่างนี้พอว่าเสร็จ ท่านก็เป่าศีรษะให้ รู้สึกถ้าจําไม่ผิด น่าจะเป็นหลวงพ่อโหน่ง แล้วก็เดินทางต่อ ท่านพารอนแรมไป เดินไปวันละ ๕-๑๐ กิโลเมตร พออาจารย์ใดดังๆ ย่านสุพรรณบุรีที่สอนปฏิบัติ กรรมฐานท่านไปมาหมดแล้วก็เลยพาออกไปโน้น หลวงพ่อใส ไปล่องทะเลไปถึงปักษ์ใต้จากประจวบแล้วย้อนมาชลบุรี
ที่ชลบุรีนั้นมีหลวงพ่อองค์หนึ่งดังมาก สามารถหยิบก้อนหินมาเสกเพี้ยง...โยนลงน้ําแล้วก้อนหินดําผุดดําว่าย กลายเป็นปลาหมอ หลวงพ่อใสท่านก็กระโดดลงไปงมเอามา ใครอยาก ได้ก็ไปงมเอา ท่านก็งมมาได้หลายลูก มีอานุภาพกันสุนัขดีนักเลย เพราะ เด็กวัดต้องเผชิญกับสุนัขเวลาเดินตามพระตอนบิณฑบาต หลวงพ่อใส ท่านสงสารอาตมาเพราะไปกับท่านบ่อยก็เลยเอาลวดมาร้อยผูกมัดลูกหิน นั้นอย่างดีมาผูกไว้ที่เอวให้ พอดีวันหนึ่งรู้สึกเจ็บเอว จะเล่นน้ําด้วยก็ เลยถอดแล้วนําที่เกาะเอวมาใส่คอเขาเล่นน้ํากันตูมตามที่แม่น้ําบางเลน เราก็อยากเล่นเหมือนกันจึงกระโดดตูมลงไป หินนั้นก็เลยหายกลับกลาย เป็นปลาหมอ ของนี้ห้ามลงน้ํา เอาอะไรมามัดก็ไม่อยู่ เราก็ลืมไป
หลวงพ่อใสท่านเดินธุดงค์ย่านดงเสือ ดงช้างเลยล่ะ ย่านชลบุรี มาเขาชะโงกเขาฉกรรจ์ ท่านไปหมดทั่วประเทศรูปร่างของท่านใหญ่ เพราะเป็นตระกูลนักรบ พ่อของหลวงพ่อใสเป็นทหารสมัยรัชกาลที่ ๔ มาปลดเกษียณเอาตอนรัชกาลที่ ๕ พ่อท่านตายในระหว่างเป็นทหาร หลวงพ่อใสท่านเล่าให้ฟังว่า โอ้ ลําบากมากไปเชียงใหม่ขึ้นดอยสุเทพไป ถึงครูบาศรีวิชัยที่ไหนดังก็ไป เดินไปโดยไม่มีรถ หลังจากที่แสวงหา อาจารย์มาทั่วประเทศแล้ว ท่านก็มาสิ้นสุดที่หลวงพ่อวัดปากน้ํา หลวงพ่อ วัดปากน้ําท่านอยู่ในกรุงเทพฯ บารมีท่านมากสาเหตุที่หลวงพ่อใสท่านยอมรับหลวงพ่อวัดปากน้ําเพราะท่านได้ดวงตาเห็นธรรมกับหลวงพ่อวัดปากน้ํา เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ หลวงพ่อใสท่านก็อายุมากแล้วหลวงพ่อก็ถาม ท่านว่าทําไมถึงมาวัดปากน้ําได้ ท่านบอกว่าท่านต้องการปลดความทุกข์ของตนเอง วิธีการที่จะทําให้ไกลจากกิเลสนั้นมันยาก ก็ไปตะลอนหาครูบาอาจารย์สอนให้พ้นทุกข์ กิเลสมันอยู่ที่ตัวเราทําอย่างไรให้มันไกลตัว เราได้ กิเลสมันอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะทําให้มันไกลไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จนท่านไปหาหลวงพ่อวัดปากน้ํา หลังจากที่ท่านไปหาหลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อ ต่างๆ แถวสองพี่น้องจนหมดแล้วจนมีพระบอกว่าจะพาไปวัดปากน้ำ ตอนนั้นกําลังดังเลย หลวงพ่อวัดปากน้ำดังมาก มาที่วัดปากน้ำในระหว่างสงครามโลก เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ตอน นั้นเป็นเด็กก็สนใจแต่จะเล่นก็เข้าไปดูของอะไรต่างๆ แล้วเข้าไปกราบ หลวงพ่อวัดปากน้ำก็ได้แค่เข้าไปกราบ คนมาเยอะ อาหารเยอะ แล้ว หลวงพ่อใสท่านก็พามานอนที่โบสถ์ หลวงพ่อใสเคยมาหาหลวงพ่อสดก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะพาอาตมามาด้วย หลวงพ่อสดให้มานอนที่โบสถ์
แปลว่า “นักรบ” ท่านเคยพูดในท่ามกลางประชุมสงฆ์ในโบสถ์ว่า “อาจารย์ณรงค์ องค์นี้ไม่ธรรมดา” ซึ่งปกติท่านไม่พูดกับใครอย่างนี้ หลวงพ่อใสท่าน ได้ธรรมกายตอนลืมตา คือ ท่านดูพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ดูจนเพลิน ใจ สบายจนจิตเคลื่อนเข้าสู่ภายใน จนเห็นธรรมกายใสสว่างที่ศูนย์กลาง หลวงพ่อใสท่านก็รอต่อวิชชา เรียนวิชชาต่างๆ ท่านให้นอนอยู่ที่โบสถ์ต่อ วิชชาการเข้าโรงงานปิดเป็นความลับไม่เปิดเผยฉะนั้นพระที่อยู่ฝ่ายเล่าเรียนจะไม่รู้เรื่องเลย นอกจากระดับพระผู้ใหญ่ หลวงพ่อวัดปากน้ําท่าน ให้อยู่เป็นเอกเทศเลยสําหรับผู้ที่ทําวิชชา ถึงเวลาเขาก็สะกิดหลวงพ่อใสไปทําวิชชา
ตอนนั้นช่วงสงครามโลก อาตมาเองตอนเป็นเด็กยังเคยนอนดู เครื่องบิน มันมาเหมือนนกกระจาบ ญี่ปุ่นมาเป็นกองทัพเป็นร้อยเป็นพัน เต็มท้องฟ้า จึงเอาชนะพม่า อินเดียทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นอาตมาต้อง เที่ยวไปเรียนหนังสือด้วยเพราะเรียนอยู่ที่วัดไผ่หูช้าง โรงเรียนก็เดี๋ยวปิด
เดี๋ยวเปิดเพราะสงคราม บ้านเมืองอยู่ภาวะสงครามหลวงพ่อวัดปากน้ํา
ท่านมีบารมีท่านพาลูกศิษย์ลูกหาช่วยชาติบ้านเมืองอันนี้เป็นเรื่องละเอียดเรื่องช่วยระหว่างสงครามนั้นตัวอาตมายังเป็นเด็ก
หลวงพ่อใสท่านเล่าให้ฟังว่าต้องไปรบกับเขาด้วย ต้องไปรบที่วัด
ปากน้ํา เราได้ยินแต่ศัพท์นี้ ตอนที่เราเรียนหนังสือนั้นอยู่ระหว่าง สงครามญี่ปุ่น หลวงพ่อใสท่านเข้าวัดปากน้ําบ่อยมีพระมีโยมถามว่า “ไป ไหน” ท่านก็พูดแบบตลกๆ บอกว่า “ไปรบ” ตอนนั้นเราก็ไม่รู้นะว่า “ไปรบ” คืออะไรทีหลังมารู้ อ๋อ....หลวงพ่อวัดปากน้ําพาพระและแม่ชีออกรบ (ด้วยการทําสมาธิ)
แม่ชีที่อาตมาจําได้ก็จะไม่ค่อยสนิทสนมเท่าไหร่ แต่พอรู้จักเพราะ อาศัยกินข้าวที่นั่น แม่ชีเก่าๆ หลายคนก็มีแม่ชีไสว แม่ชีถนอม (ตอนนั้นไปอยู่ที่อ่างทอง) แม่ชีจันทร์ ขนนกยูงแล้วก็แม่ชีจําเริญ ตอนนี้เสียชีวิต แล้ว แล้วก็มีแม่ชีปุก แม่ชีทองสุกนี่เจ๋งมากลูกศิษย์เยอะเมตตาธรรมสูง พูดง่ายๆ คือ เป็นคนมีเมตตาธรรมสูง ในบรรดาแม่ชีที่อาตมาเข้าไป สัมผัสตอนเป็นเด็ก แม่ชีทั้งชุดนี้มีบุคลิกลักษณะน่าเคารพ แล้วไม่น่า กลัวมีเมตตาสูง แม่ชีทองสุกก็เคยมาลูบหัวถามว่า “หิวข้าวไหมไอ้หนู” พอบอกให้ไปนั่งสมาธิก็นั่ง ปีหลังแม่ชีทองสุกไปสอนที่นครสวรรค์แถววัด โพธิ์หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านส่งไป กุฏิแม่ชีเป็นกุฏิเล็กๆ แล้วย้ายไปสอน ที่ลาดยาวจังหวัดไหนไม่ทราบเพราะอาตมาไม่ได้ตามไป คืออาตมาไปหา ท่านไปเยี่ยมเยียนแม่ชีทองสุขท่าน ที่วัดโพธิ์ เขาบอกว่าแม่ชีทองสุขไปอยู่ที่ ลาดยาวแล้ว ตอนนั้นแม่ชีเธียรซึ่งเป็นผู้ติดตามก็ยังเป็นสาว ส่วนแม่ชีญาณี โดยมากจะคุมคน คุมโรงครัว ฝ่ายพระที่รู้จักก็จะมีพระมหาเจียกซึ่งก็อยู่ ชุดทําวิชชาด้วยมหาเจียกเป็นคนทําวิชชา พอตั้งแต่หลวงพ่อวัดปากน้ํา เริ่มอาพาธก็ช่วยคุมโรงงานทําวิชชา องค์ปัจจุบันที่คอยดูแลเรื่องทําวิชชา คือ เจ้าคุณพระภาวนาโกศลเถระ(วีระ คุณุตตโม) พระมหาวีระนี้พูด ญี่ปุ่นเก่ง แม่เป็นคนพระประแดง พ่อเป็นญี่ปุ่น
ในช่วงแรกๆ แต่เดิมนั้นหลวงพ่อใสท่านอยู่ที่วัดไผ่หูช้าง ต.ไผ่หู ช้าง อ.บางเลน จ.นครปฐม เป็นเจ้าอาวาสท่านไปๆ มาๆ ระหว่างวัดปาก น้ําเพื่อเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อสด และได้มาอยู่กับหลวงพ่อวัดปากน้ําตลอดเมื่อตอนปี พ.ศ.๒๔๙๑ ท่านนั่งในโบสถ์ ในโรงงานทําวิชชามีโบสถ์นั่งเป็นกะ มีพระหลายรูป เปลี่ยนเวรกัน ที่จําได้มีหลวงพ่อช้วน หลวงพ่อเล็ก พระอาจารย์สังวาลย์ ที่ไปอยู่ที่วัดผาสุการาม ปีพ.ศ. ๒๔๘๘ พระมหาเกศ(เจ้าคณะจังหวัดนครนายก) และ หลวงพ่อใสพาอาตมามาบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ เอามาฝากไว้กับพระพิมลธรรม (ช้อย) ท่านเป็นเจ้าอาวาสและเป็นสังฆมนตรี ดูแลทางด้านปริยัติ ตอนนั้นจะตั้งโรงเรียนมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ตอนนั้นวัดมหาธาตุยังไม่ได้ตั้ง แต่ว่าทางพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานชื่อให้แล้วแต่ว่ายังไม่มีที่เรียน พระพิมลธรรม (ช้อย) จึงปรารภว่า ควรจะสร้างขึ้นซึ่งเป็นหลังสงครามโลกแล้ว เพื่อให้พระภิกษุได้เรียนทางด้านปริยัติทั้งทางโลกและทางธรรม จะได้เอาความรู้ไปช่วยงานพระพุทธศาสนาพัฒนาประเทศ ดังที่เห็นในปัจจุบันเจริญรุ่งเรืองเป็นมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย สมความปรารถนา อีกทั้งพระพิมลธรรม(ช้อย) ท่านก็ปรารถนาอยากให้พระ ภิกษุสามเณร ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานเพื่อพระจะได้มีที่พึ่งทางใจจึงได้นิมนต์ หลวงพ่อวัดปากน้ํา มาสอนกรรมฐาน ที่คณะ ๑ วัดมหาธาตุฯ ตอนนั้นก็ ยังเป็นศาลาไม่ใหญ่โต ลมเย็นสบาย
อาตมาจึงได้เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็ได้เห็นลูก แก้วกลมใส มองนึกให้เห็นด้วยตาเรา กําหนดให้ หญิงซ้าย ชายขวาให้ ใจเห็นที่ลูกแก้วด้วย หมายความว่าเห็นแล้วใจต้องอยู่ตรงนั้นด้วยเป็นอัน เดียวกัน ที่ท่านบอกว่าใจนั้นต้องมีเห็น มีจํา มีคิด มีรู้ รวมเป็นจุดเดียว เรียกว่าใจ เข้าไปในรูจมูกจนถึงหัวตา เรียกว่าฐานที่ ๒ หญิงอยู่ซ้าย ชายอยู่ขวา มีคําภาวนาสัมมาอะระหัง ๓ ครั้ง นี่เป็นหลักวิธีการที่หลวงพ่อ สอน เพื่อรักษาไม่ให้ใจเราหนีจากลูกแก้ว เข้าไปฐานที่ ๓ เขาเรียกว่า จอมประสาท ก็เห็นลูกแก้ว ก็สัมมาอะระหัง ๓ ครั้ง ก็มาถึงฐานที่ ๔ ช่องเพดาน พอถึงช่องเพดาน ใจเราก็ตรึกให้เห็น ให้ใส แล้วก็เลื่อนมา
ทําไม่สําเร็จ หยุดข้างนอกก็ไม่ได้ นอกตัว เราไม่ได้ ถ้าจะเข้าสู่อารมณ์กรรมฐาน ต้องฐานที่ ๗ แต่ว่าถ้าหยุดในตัวเราในอาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง.. หยุดตามนั้น นั่นหมายความว่าเมื่อ เราได้บรรลุถึงท่านเรียกว่าตกกายแล้ว ตกถึงกลางมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหมต่างๆ เราค่อยมาพิจารณาอาการ ๓๒ ต่างๆ แต่ในเบื้องต้นไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้เห็นลูกแก้วระลึกตรึกอยู่ที่ฐานที่ ๗ อย่างเดียวให้ใจหยุดในตัวสําเร็จ การเรียนกรรมฐานถ้าทําหยุดไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะเรียนไปสู่ชั้นสูงต่อไปได้ พระพิมลธรรมท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่เคร่งครัดมากน่าเคารพยําเกรง
หลังจากที่พระพิมลธรรม (ช้อย) ท่านมรณภาพแล้ว คนก็ได้ไป
นิมนต์เจ้าคุณพระพิมลธรรม (อาส) ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่กรุงศรีอยุธยา อาตมายังจําได้เพราะว่าท่านเป็นศิษย์วัดมหาธาตุ พอ เจ้าคุณช้อยมรณะก็ไปนิมนต์มาแทน ต่อมาท่านก็ประสบปัญหา ทางด้าน พระเถระก็อดอยากไม่มีใครใส่บาตร ตอนนั้นอาตมาก็เห็นว่าหลวงพ่อใส ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่วัดปากน้ำแล้วอาตมาจึงได้ย้ายไปอยู่ด้วย ที่วัดปากน้ำ ตอนนั้นหลวงพ่อช้วน ซึ่งเป็นหลานของหลวงพ่อวัดปากน้ำคุมทําวิชชา ทําพระของขวัญรุ่นที่ ๑ อยู่ที่โบสถ์อาตมาก็ได้นั่งอยู่ด้วย
ก็โอ้โฮ..เห็นพระเยอะนับไม่ถ้วน (พระภายใน) เป็นพันเป็นหมื่น หลวงพ่อช้วนท่านก็ถามตอนนั้นว่าท่านเป็นพระหนุ่ม ส่วนใหญ่แล้วพระ หนุ่มสมัยนั้นเขาไม่นั่งสมาธิกันหรอกเพราะเรียนหนังสือ ส่วนอาตมาไม่
ได้เรียนก็เลยไปนั่งด้วย ตอนนั้นอาตมาไม่รู้ว่าเขาทําพระนะ คือที่ทําพระจะอยู่อีกที่หนึ่ง ที่นั่งก็อยู่อีกที่หนึ่งแต่อาตมากลับนั่งแล้วเห็นพระเต็มเลย ท่านก็บอกว่าดีๆ ให้ระลึกถึงให้ใช้เมตตากรุณาถ้าสวดได้ก็สวด ก็คือพุทธาภิเษกนั่นแหละ วัดปากน้ําพุทธาภิเษกไม่เหมือนเขาหรอก ไม่ต้องไปฟังเขาสวด สวดเอาเอง พระที่เขาทํานั้นน่ะมีเยอะ เขาส่งมาเราก็ไม่รู้ ทําไมมีเยอะจริงๆ เราก็นั่งสวดไปท่องไปบทที่เราสวดได้เราก็สวดเรื่อยไป ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้อย่าไปเอาออกให้นึกถึงไว้ พระที่สร้างตั้ง ๘๔,๐๐๐ องค์ รุ่น นั้นท่านไม่ได้บอกเราพอออกพรรษาปุ๊บ หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านแจกจึงได้มาองค์หนึ่ง หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านพูดว่า ไม่ใช่ธรรมดานะ หลวงพ่อใสที่ ให้มานอนอยู่ที่โบสถ์ คือพระอาจจะมีวิจิกิจฉา (ความสงสัย) ว่าทําไมให้ พระมานอนเฝ้าโบสถ์ บางคนก็อาจสงสัย อาจจะพูด หลวงพ่อสดจึง พูดว่าไม่ธรรมดาที่มานอนอยู่เนี่ยะ มานอนทําวิชชาสร้างพระรุ่นแรก ปี ที่หลวงพ่อพูดเกี่ยวกับหลวงพ่อใสนี้ ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เพื่อให้พระทั้งหลายเข้าใจว่าทําไมมาอยู่ในโบสถ์เพราะพระทั้งหลายเขาอยู่กุฏิกัน หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านให้มาช่วยทําวิชชา ช่วยงานท่านหลวงพ่อวัดปากน้ําท่านคัดแต่ระดับที่ได้จริงๆ มาทําวิชชามีพระ อาจารย์อยู่ ๑๐ กว่ารูปที่ทําในสมัยนั้น ที่อาตมายังพอจําได้ เพราะนั่ง ด้วยกัน มีหลวงพ่อเงียบ แต่เขาเรียกว่า หลวงพ่อเอกาทัสสะอยู่วัดวิเวก คลอง ๑๖ ที่คนเรียกว่าหลวงพ่อเงียบ เพราะท่านเงียบจริงๆ ไม่พูดกับ ใครและมี ๑๑ นิ้ว เขาเลยเรียก “เอกาทัสสะ” แล้วก็มีหลวงพ่อแอบ ไปอยู่ สงขลา (มรณภาพแล้ว) หลวงพ่อโอบอยู่สิงห์บุรี หลวงพ่อสมบูรณ์อยู่วัด เขาพระ ตอนนี้มรณภาพแล้ว อาตมาเองก็รู้จักใครไม่มาก แม้ตอนนั้นพระจะมากแต่ก็ไม่ได้ สนิทสนมคุ้นกับใคร ไปฉันแล้วก็กลับมาอยู่ในโบสถ์ ในโรงงานทําวิชชา จะมีแม่ชีนั่ง ส่วนพระจะมีโบสถ์เล็กๆ เป็นโรงงานอีกที อยู่ติดกับกุฏิของ หลวงพ่อวัดปากน้ํา
ในส่วนของแม่ชี พระไม่มีสิทธิ์เข้าไป พระก็นั่งกับหลวงพ่อและนั่งที่โบสถ์ เอาพระเข้ามาศูนย์กลางกาย ท่านก็สอนวิชชา คือ ท่านบอกว่า ใจหยุด หยุดให้นิ่งทําให้ใส ให้หยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายถึงจะเห็นดวงเห็นกายหรือไม่ ก็ต้องให้รู้ว่าใจหยุด แผ่บุญแผ่กุศลเราเห็นกายมนุษย์หยาบ ละเอียด ก็แผ่ไป จะแผ่ให้พวก เทวดาก็ต้องเข้าถึงกายทิพย์ มีทั้งหมด ๑๘ กาย ในวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อ พระของท่านป้องกันภยันตราย ตรึกเข้าไปในกาย เดินทุกสี ทุกสาย ทุกกาย ทุกองค์ ในตัวของ เราครบทั้ง ๑๘ กายเป็นสายธาตุ สายธรรม คือ สายธาตุ สายธรรม ทุกกาย หมายถึงกายทั้ง ๑๘ กายไม่ให้ออกนอก เราจะเห็นก็ต่อเมื่อ เราได้แล้ว ในละเอียดนั้นทุกคนจะเห็นพร้อมกัน เหมือนดูโทรทัศน์ ช่องเดียวกัน สัญญาณเครือข่ายเดียวกัน เหมือนโทรสารตํารวจพูด ก็รู้กันหมดทั่ววงเป็นเครือข่ายสัญญาณเดียวกันต้องรู้เพราะว่าคนที่ นั่งทําวิชชารู้กันทุกคน เราไม่ต้องไปพูดต่างคนต่างดู
อย่างคนที่เขียนอาการโรค ก็เขียนวัน เดือน ปีเกิด เป็นโรคอะไร แล้วก็ใส่ตู้ไว้ หลวงพ่อท่านอ่านในใจส่งสัญญาณ นั่งที่ไหนก็รู้แก้โรคตาม นั้น คนบ้าก็มาให้หลวงพ่อแก้ หลวงพ่อยังเคยไปช่วยหยาบๆ เอายาไป กรอก ช่วยแก้ภายในไม่ไหว โรคหยาบมันต้องใช้ของหยาบ อาตมาก็ เคยไปช่วยกรอกอยู่ข้างๆ วัด
อาตมาอยู่กับหลวงพ่อใส ปฏิบัติตามอยู่ในโบสถ์หลังเล็กตลอด มาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๓ แล้วต่อมาพี่ชายก็มาหาที่วัดปากน้ําอยากให้เรา สึกไปดูแลยายก็เลยมากราบหลวงพ่อใสที่โบสถ์ ขอลาสิกขาไปช่วยสร้าง บ้าน ไปช่วยทําไร่ไถนา ช่วยทํานาหาเลี้ยงยาย หลวงพ่อใสท่านก็ขัด ไม่ได้ ท่านก็ว่า “ตื่นแต่ดึก ศึกษาแต่หนุ่ม”
อาตมาก็สึกไปเลี้ยงยาย ก็เสียใจไม่รู้จะทําอย่างไร เราเป็นหนี้ บุญคุณเขา เขาให้เราเกิด ได้อยู่บ้าน ได้กินข้าว กินน้ํา เลี้ยงเรามาจนโต พอแม่ตายก็มียายที่เลี้ยง
ลาสิกขาไปตอนเดือน ๑๒ เป็นวันพฤหัส ออกพรรษาแล้วก็สึก หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านลาสิกขาให้ตอนเช้าหลังทําวัตรเช้าเสร็จ ท่านจะ อบรมพระ-ชี พอเทศน์จบท่านก็พูด “เอ้า...ออกมา” เรียกอาตมาออกมา “จะลาสิกขาก็ออกมา” คนมองกันเป็นตาเดียว เพราะไม่รู้ก็สงสัยว่า เอ๊ะ! หลวงพ่อจะจับสึกหรือเปล่า คือ ปกติแล้วหลวงพ่อท่านจะไม่สึกให้ใครเลย ที่ท่านสีกให้เพราะท่านรู้ โดยเฉพาะหลวงพ่อใสไปอยู่กับท่าน พอหลวงพ่อใสพาเราไปหาท่านปุ๊บ ท่านรู้เลยว่าเราจะลาสึก
ท่านให้ศีลให้พรก่อนจะลาสิกขา ให้ท่องอิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน ๆ ให้ท่องต่อหน้าท่านเลย ตอนแรกเราประหม่าท่องไม่ได้ ท่องไม่จบ ขนาดเคยสวดอยู่ทุกวัน แต่วันนั้นท่องไม่ได้ ท่านก็บอกว่าเอาใหม่ ตั้งสติใหม่ มันสั่น พระก็อยู่เต็มไปหมด ไม่มีใคร นอกจากอาตมารูปเดียวที่ ลาสิกขา ตอนนั้นอายุ ๒๑ เป็นพระ แล้วความจริงใครสึกให้ก็ได้ แต่หลวงพ่อวัดปากน้ํา ท่านนัดวันพฤหัสบดีตอนเช้า วันครูพอดี เราก็ใจหาย ไม่อยากสึกเลย มันทั้งสั่น น้ําตาไหล ท่านไม่ได้ไปจับจีวรเลยลาสิกขาเสร็จก็ให้ศีล ให้พร ท่านบอกว่าให้ไปมีโชค มีลาภ ชนะมาร ให้พ้นภัย ให้เจริญในสมบัติ แล้วได้กลับมาบวชใหม่ ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ท่านบอกว่าจะได้กลับมาบวชใหม่และต่อไปจะได้ไปอยู่อีสาน อยู่กับ ป่าช้า มีของเก่า (โบราณ) พอเสร็จแล้วพระทั้งหมดก็ชยันโตฯ อัศจรรย์มากตอนที่ไปกราบลาท่าน ตอนนั้นตอนเย็นๆ แล้ว ไม่มีใครอยู่แล้ว หลวงพ่อใสท่านพาไปกราบลา ท่านรู้นะ จะมาลาสิกขา “ต้องได้มาบวชใหม่ ไป อยู่ป่าช้ามีของเก่า” สึกไปแล้วก็ปฏิบัติ ธรรมอยู่ตลอด แล้วได้มาบวชใหม่ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ บวชกับท่านเจ้าประคุณ สมเด็จ (สมเด็จมหารัชมังคลาจารย์) บวชปุ๊บก็ได้ทํางานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เลย เพราะว่าเรามีพื้นฐานมาก่อนแล้ว
เจ้าคุณสมเด็จท่านก็รู้จัก ท่าน ก็บอก...อ้าวแล้วหลวงพ่อใส ให้บวชหรือเปล่า หลวงพ่อใส ท่านให้บวชอยู่แล้ว ท่านก็ เลยรับบวชให้บวชแล้ว อาตมาก็ได้ทํางานเลย พอออกพรรษา อาตมาก็เข้าป่าเลย บําเพ็ญ ภาวนาทั้ง ๓ เดือนไปนั่ง ตามซอกเขา ไปขึ้นเขา แล้วต่อมาก็ได้มาอยู่ที่วัดป่าเจริญธรรมกายที่ร้อยเอ็ดนี้ เป็นป่าช้าเก่าแล้วก็มีของเก่าอย่างที่ หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านเคยบอกไว้ มีบาตรเก่าใบใหญ่ มีไหใบเก่า มีพระเครื่องเก่าแก่ บาตรเก่านั้นข้างในมีเจดีย์โบราณเล็กๆ ตรงกลาง เจดีย์ก็มีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ เจดีย์นี้ถอดประกอบสวมเข้าด้วยกัน ได้ อาตมาก็นึกขึ้นได้ว่า หลวงพ่อวัดปากน้ําท่านเคยบอกเราตั้งแต่
ลาสิกขาครั้งโน้นแล้วสิ่งที่ท่านพูดไม่ผิดเพี้ยนเลย
หลวงพ่อใสเองท่านก็เคยมาที่วัดป่าเจริญธรรมกายนี้ มาจําวัดที่นี่ครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะมรณภาพอาตมาไปหาท่าน ท่านก็พูดว่า “กูไม่รู้จะ อยู่ไปทําไม” พอไปหาท่านคราวนั้น อาตมาก็ลากลับมาจัดงานที่วัด จัดงานเสร็จวันที่ ๓๑ มกราคม ก็มีโทรเลขมาถึงเลยว่า หลวงพ่อใสไปแล้ว เราก็รีบเก็บของเสร็จวันนั้นเดินทางตอนกลางคืน ไปทําพิธีเผา
ตอนที่ท่านมรณภาพนั้นท่านนั่งไป นั่งสมาธิไป (อยู่ในท่านั่งสมาธิ) อัฐิของท่านขาว แล้วก็เป็นพระธาตุ มีสีเขียวมรกต แล้วก็ สีทอง ธาตุกับกระดูกนั้นคนละอย่างกัน กระดูกคือกระดูก ธาตุก็เป็นธาตุ ธาตุเขาว่า รวมดิน น้ํา ลม ไฟ มันจะแข็ง เขียว เหลือง ใส ขาวไม่ใช่ กระดูก เขาเรียกว่าพระธาตุส่วนทั้งหมด ในเนื้อหนังมังสา จะเป็นธาตุไม่ใช่กระดูก ธาตุ คือ การรวมเอาดิน น้ํา ลม ไฟ จากการทําสมาธิของท่าน กลั่นจนมี ความบริสุทธิ์ คนธรรมดาจะไม่เป็น จะเผาไหม้หมด แต่ธาตุของหลวงพ่อใสก็มีไม่มากไม่กี่องค์ ธาตุของนักปฏิบัติธรรมจะไม่ไหม้ จะเหลือมาเป็นธาตุ ของ พระพุทธเจ้าเรียกว่า พระบรมสารีริกธาตุ เหลือทั้งองค์เลย อาตมาได้เอาพระธาตุของหลวงพ่อใสไปบรรจุไว้ฐานพระบ้าง เจดีย์บ้าง ที่วัดปากน้ำ อย่างลูกศิษย์บางคนที่มาเรียนกรรมฐานที่วัดปากน้ำ บางคนเผาแล้วยังเป็นธาตุเลย ก็เก็บๆ ไว้แล้วบอกลูกหลาน ว่าพ่อ แม่มี กระดูกเป็นธาตุนะ เขาก็รีบคว้าไปเลย คือ ต้องปฏิบัติและเข้าถึงธรรม หลวงพ่อพระครูภาวนามงคลที่เราได้ไปสัมภาษณ์นี้ แม้จะมีอายุ ๗๐ ปีแล้ว ท่านยังคงแข็งแรงและที่สําคัญผิวพรรณท่านมีความผ่องใส ดูสดชื่นเป็นอย่างมาก นอกจากท่านจะเป็นพระนักปฏิบัติตามแนวทาง ของหลวงพ่อวัดปากน้ําแล้ว ท่านยังเป็นพระนักเผยแผ่และพัฒนา ที่มากด้วยความสามารถทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจให้กับงานพระศาสนาโดยแท้จริง
ท่านได้ให้ธรรมะและเปิดใจให้ฟังว่า การที่เราได้ช่วยพระศาสนามา เรียกว่า คุ้มค่ากับการได้เกิด มาเป็นมนุษย์ และภูมิใจในผลงานของเราที่ได้ตั้งตนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมา ถึงจะอยู่ทางโลกก็ดี ทางพระก็ดี ก็พยายามรักษาตัวไม่ให้ความชั่วเข้ามา เป็นเพื่อน เรียกว่าจูงกันไปในทางที่ผิด ซึ่งจะเป็นปัญหาของบ้านเมืองและสังคม ที่จะต้องตามมาแก้ปัญหา คือ เราต้องแก้ปัญหาของเรา เรา รู้อยู่ว่าตัวเราเองแก้ปัญหาได้ดีที่สุดกว่าที่จะไปให้ตํารวจ อัยการ ผู้พิพากษาแก้
ธรรมะก็คือ ตัวเรา ตัวเรามีหน้าที่รักษาตัวเราเอง ให้เป็นไป เพื่อประโยชน์ต่อตัวเอง และสังคมทั้งโลกนี้และโลกหน้า หรือที่สุดของ พระพุทธศาสนา คือ นิพพาน
เพราะฉะนั้นในหลักที่ว่า ตังขยัง อนันตัง ก็หมายความว่า พระนิพพานนั้น อมตํ เป็นสิ่งไม่รู้ตาย ทีนี้เราทําได้เอง ไม่ต้องให้คนอื่น ทําให้ เพราะมีอยู่ในตัวเราหมดแล้ว พระไตรปิฎกทั้งหมดมีอยู่ในตัวเรา เรามาอ่านในตัวเรา ใจจรดศูนย์กลางกายไว้ ดังที่หลวงพ่อวัดปากน้ํา ท่านบอก เรามีหน้าที่ไปเอาธรรมะ แล้วมีหน้าที่ดูแล้วแก้ไขว่าอะไรถูกผิด นี้คือหลักของหลวงพ่อวัดปากน้ํา ท่านสอนเน้นๆ มีแต่ธรรมะล้วนๆ
เราก็แก้ไขตัวเรา เพราะเรามีตั้ง ๑๘ กาย กายมนุษย์จนถึง ธรรมกาย มีทั้งกายหยาบ กายละเอียด เราต้องมองให้เห็นแล้วแก้ไข ของเราเอง ถ้ามองไม่เห็นก็แก้ไม่ถูก ที่แก้ไม่ถูกทางเรียกว่าเราไม่เห็นตัวเรา แต่ไปมองที่อื่นตนเองไม่มอง เมื่อมองแต่คนอื่นจะเห็นตนเองได้อย่างไร
การมองตัวเอง การแก้ไขตัวเองนี้เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้ารวมถึงหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านพยายามชี้แผนที่ให้ไป หลวงพ่อท่านบอกว่า หยุดเป็นตัวสําเร็จ ไม่ต้องพูดอะไรมาก จะมืดหรือสว่างไม่ต้องพูดมาก ให้หยุดเป็นซะก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน เนี่ย...คําพูดสั้นๆ แต่สําคัญโดย มากจะทํากันไม่ได้ เพราะเรายังไม่หยุด ไปข้างนอกก็เลยไปวุ่นวาย ไป แก้ปัญหาภายนอก ถ้าทุกคนแก้กันที่ตัวเองจริงๆ โลกเรานี่จะมีแต่ความ สุข มีอะไรก็แบ่งกันกิน แบ่งกันอยู่ ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน โลกก็จะ มีแต่ความสุขตลอดไป